ในเรื่องความคลาดเคลื่อนของพระธรรมวินัย

 
สารธรรม
วันที่  14 ก.ย. 2565
หมายเลข  43845
อ่าน  411

ในเรื่องความคลาดเคลื่อนของพระธรรมวินัย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเตือนไว้ใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค โอปัมมสังยุต อาณีสูตร มีข้อความว่า

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่อ อานกะ ของพวกกษัตริย์พระนามว่า ทสารหะ ได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่อ อานกะ ก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเล่าเรียน ควรศึกษา แต่ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้นที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ

ข้อความในพระสูตรนี้ไม่ได้จำกัดว่า ใครกล่าว แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดและกล่าวในสมัยใด ถ้าคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเรียน ไม่ควรศึกษา ไม่ควรเงี่ยโสตลงสดับ ก็จะเป็นเหตุให้พระธรรมอันตรธาน แต่ถ้าผู้ใดกล่าวพระสูตรที่นักปราชญ์รจนาไว้เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต คือ เป็นความเข้าใจของสาวกโดยที่ไม่มีในพระธรรมวินัย และก็ผู้นั้นคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรเรียน ควรศึกษา ควรเงี่ยโสตลงสดับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นเหตุให้พระธรรมวินัยอันตรธาน

ข้อประพฤติปฏิบัติหรือการเจริญสติปัฏฐาน ก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าในมหาสติปัฏ-ฐานสูตร หรือว่าสูตรอื่นๆ จะต้องพิจารณาไตร่ตรอง เพราะเหตุว่าเป็นอรรถอันลึก ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะรู้ง่าย ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่ควรที่จะยึดถือความเห็นของตน ถึงแม้ว่าจะได้ฟัง ได้ศึกษา หรือว่าได้ฟังตามๆ กันมา ได้เชื่อตามๆ กันมาอย่างนั้น เป็นเวลาที่นานสักเท่าใดแล้วก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะยึดถือในความเห็นอันนั้นว่า เป็นความเห็นที่ถูกต้องแล้ว เพราะเหตุว่าความเห็นนั้นอาจจะผิดก็ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อฟังตามๆ กันมา หรือว่าเชื่อตามๆ กันมาแล้ว ความเห็นที่ได้ฟัง ได้เชื่อตามๆ กันมานั้นจะต้องถูกเสมอไป และบุคคลในครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับบุคคลในสมัยพุทธกาล มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรจะยึดถือในความเห็นของตน ถึงแม้ว่าจะได้เคยศึกษาหรือว่าเคยเชื่อเช่นนั้นตามๆ กันมามากแล้ว


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 66


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ