เวลาที่พูดจะรู้สึกตัวได้อย่างไร
ขอพูดถึงคำถามที่ได้รับจากท่านผู้ฟังที่ถามว่า เวลาที่พูดจะรู้สึกตัวได้อย่างไร
ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงการเจริญสติในทุกอิริยาบถ เวลาที่มีชีวิตอยู่จะพ้นจากขณะที่กำลังนั่ง นอน ยืน เดินไม่ได้ แล้วมีพูดด้วย มีคิดด้วย ซึ่งในขณะนั้นต้องเจริญสติ ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคนั้นไม่เคยส่งเสริมให้พุทธบริษัทหลงลืมสติด้วยประการใดๆ เลย เพราะเหตุว่าสติเป็นธรรมที่มีคุณ เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ตรงกันข้ามกับโมหะ การไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ผู้ปฏิบัติธรรมก็พูดกันอยู่เสมอ แล้วแต่ขั้นของความเข้าใจ ถ้ามีความเข้าใจในเรื่องการเจริญสติแล้ว เวลาพูดเจริญสติได้ไหม
สติ เป็นสภาพที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะเห็นมีอะไรปรากฏ ขณะกำลังนั่ง มีเห็นไหม มีได้ยินไหม มีคิดนึกไหม ถ้ากำลังรับประทานอาหาร มีรสปรากฏไหม ถ้ากำลังพูด ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปในขณะนั้นได้ไหม อย่าให้ความข้องใจหรือความสงสัยมากั้นว่า เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ในขณะที่กำลังนั่ง เห็นก็มี ได้ยินก็มี ถ้าสติเกิดขึ้นในขณะนั้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้กำลังนั่ง ทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน ทางกายก็อาจจะมีความรู้สึก กระทบเย็นบ้าง ร้อนบ้าง รู้เย็นบ้าง รู้ร้อนบ้าง ก็เป็นของจริงตามปกติ ทุกอย่างเป็นสังขารธรรม อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ถ้าสติของผู้ใดจะเกิดขึ้นระลึกรู้นามหรือรูปทางตาได้ไหม เพราะว่าขณะนี้กำลังมีการเห็นซึ่งเป็นนามธรรม และก็มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา หรือว่าสติของท่านผู้ใดในขณะที่กำลังฟังนี้เอง เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพที่กำลังได้ยินและเสียงทางหู หรือว่าระลึกได้ รู้ว่าที่กำลังเข้าใจความหมายของคำพูดต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นนามธรรม เพราะเหตุว่ารูปนั้นไม่ใช่สภาพรู้ รูปไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น ความเข้าใจในขณะที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาตามแล้วเข้าใจนี้ ความเข้าใจในขณะนี้ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สติก็สามารถจะเกิดขึ้นระลึกรู้นามและรูปได้
ท่านผู้ฟังคงจะคิดถึงในครั้งพุทธกาล เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม มีผู้ที่บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระอนาคามีก็มี เป็นพระสกทาคามีก็มี เป็นพระโสดาบันบุคคลก็มี ไม่เป็นอะไรเลย คือ ยังคงเป็นปุถุชนก็มี ทำไมท่านเหล่านั้น สามารถที่จะบรรลุคุณธรรมได้ถึงเป็นพระอรหันต์เมื่อจบเทศนา หรือว่าเวลาที่ได้ฟัง คำอธิบายขยายพระธรรมเทศนานั้นโดยละเอียดนานาประการ
เพราะฉะนั้น คนที่ฟังธรรมแล้วก็เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอนาคามีบุคคล เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระโสดาบันบุคคลนั้น ฟังธรรมแล้วต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แล้วบรรลุมรรคผลโดยที่ไม่รู้เรื่อง ก็น่าคิดต่อไปว่า ทำไมท่านเหล่านั้นสามารถที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันได้ แม้ในขณะที่ได้ฟัง หรือในขณะที่ได้ฟังนั้นก็สามารถที่จะรู้แจ้งธรรมเป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ได้ในขณะนั้น ในขณะนั้นนั่นเองท่านเหล่านั้นสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ คนอื่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ท่านที่อยู่ด้วยกันนั้นบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว เพราะเหตุว่าไม่อะไรเลยที่ผิดปกติ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...