มีภพเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในภพ เพลิดเพลินด้วยดีในภพ

 
สารธรรม
วันที่  15 ก.ย. 2565
หมายเลข  43869
อ่าน  260

ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ทิฏฐิสูตร มีข้อความว่า

จริงอยู่พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อันทิฏฐิ ๒ อย่าง พัวพันแล้ว บางพวกย่อมติดอยู่ บางพวกย่อมแล่นเลยไป ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็น

ข้อความต่อไปที่อธิบายข้อความเบื้องต้นนั้น มีว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมติดอยู่ อย่างไรเล่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มีภพเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในภพ เพลิดเพลินด้วยดีในภพ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมเพื่อความดับภพ จิตของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ดำรงอยู่ด้วยดี ย่อมไม่น้อมไป

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวก ย่อมติดอยู่อย่างนี้

เคยเป็นอย่างนี้ไหม

ตอนที่ยังเป็นเด็ก หรือตอนที่เป็นหนุ่มสาว ได้ยินธรรมก็ไม่อยากฟัง เป็นเรื่องของการดับภพดับชาติ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำให้เพลิดเพลินยินดีในภพในชาติเลย

ภพ คืออะไร ชีวิตที่เป็นไปในวันหนึ่งๆ มีการเห็น มีการได้ยิน มีการได้กลิ่น มีการรู้รส มีการได้กระทบสัมผัสสิ่งต่างๆ ถ้าคิดนึกก็ไม่พ้นไปจากวิตกในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ถ้ายินดียินร้าย ก็ไม่พ้นไปจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าผู้ใดที่ยังมีภพเป็นที่มายินดี เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมเพื่อความดับภพ จิตของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ดำรงอยู่ด้วยดี ย่อมไม่น้อมไป

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ใดสนใจฝักใฝ่ในธรรม โดยเฉพาะในพระธรรมที่พระตถาคตได้ทรงแสดงเพื่อความดับภพ ก็เป็นลาภอันประเสริฐที่ว่าผู้นั้นย่อมไม่ติดอยู่

ส่วนอีกประการหนึ่ง ในทิฏฐิประการที่ ๒ ที่ว่า บางพวกย่อมแล่นเลยไป มีข้อความว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมแล่นเลยไปอย่างไรเล่า ก็เทวดาและมนุษย์บางพวกอึดอัด ระอา เกลียดชังอยู่ด้วยภพนั่นแล ย่อมเพลิดเพลินความขาดสูญว่า

แน่ะ ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อใดตนนี้เมื่อตายไปย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องแต่ตายย่อมไม่เกิดอีก นี้ละเอียด นี้ประณีต นี้ถ่องแท้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมแล่นเลยไปอย่างนี้แล

ไม่อภิชฌาก็โทมนัสในภพ ไม่เพลินไปด้วยความต้องการ ความน่าเพลิดเพลินต่างๆ ก็เกิดความอึดอัดระอาเกลียดชัง แล้วก็คิดว่า เวลาที่ตนนี้เมื่อตายไป ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องแต่ตายย่อมไม่เกิดอีก ก็เข้าใจว่าความคิดนี้ละเอียดประณีตถ่องแท้ และก็คิดว่า เมื่อมีความอึดอัด มีความเกลียดชัง มีความระอาในภพนั้น ก็คงจะเป็นเหตุให้ไม่ต้องเกิดอีก ข้อความต่อไปมีว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็นอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ครั้นเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุ ย่อมเห็นอย่างนี้แล

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้วในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ ดังนี้ ว่า

อริยสาวกใดเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว และธรรมเป็นเครื่องก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ย่อมน้อมไปในนิพพานตามความเป็นจริง เพราะภวตัณหาหมดสิ้นไป ถ้าว่าอริยสาวกนั้นกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว ปราศจากตัณหาในภพน้อยและภพใหญ่แล้วไซร้ ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่มาสู่ภพใหม่ เพราะความไม่เกิดแห่งอัตภาพที่เกิดแล้ว

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล

นี่เป็นข้อความในพระสูตรซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทรงอนุเคราะห์ ทรงอุปการะผู้ที่อาจจะเข้าใจไขว้เขวคลาดเคลื่อนในการปฏิบัติ ไม่ว่าในสมัยใดทั้งสิ้น เพราะพระองค์ทรงมีพระมหากรุณา ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณรู้ว่า หลังปรินิพพานพระสัทธรรมนั้นย่อมเสื่อม ย่อมคลาดเคลื่อนได้

เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงแสดงธรรมอนุเคราะห์ไว้ด้วยประการต่างๆ แม้ในการเจริญสติ เห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว เวลานี้กำลังนั่งอยู่ที่นี่ ขันธ์ ๕ ใดปรากฏ ย่อมเป็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้ การเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วปรากฏในขณะนี้ อย่าน้อมไป โน้มไปด้วยอวิชชาและอภิชฌาถึงขันธ์ ๕ ที่ยังไม่เกิด ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นแล้ว ไม่ใช่การเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 68

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 69


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ