ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีความอดทนมากจริงๆ
นอกจากพระผู้มีพระภาค บรรดาพระภิกษุ ภิกษุณี ก็ต้องมีความอดทนมาก ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีความอดทนมากจริงๆ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ภิกขุณีสังยุตต์ โสมาสูตร ที่ ๒
ครั้งนั้น เวลาเช้า โสมาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้โสมาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหาโสมาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกับโสมาภิกษุณี ด้วยคาถาว่า
สตรี มีปัญญาเพียง ๒ นิ้ว ไม่อาจถึงฐานะ อันจะพึงอดทนได้ด้วยยาก ซึ่งท่านผู้แสวงทั้งหลาย จะพึงถึงได้
ลำดับนั้น โสมาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ทันใดนั้น โสมาภิกษุณีได้ดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นโสมาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า
ความเป็นสตรีจะทำอะไรได้ เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อญาณเป็นไปแก่ผู้เห็นธรรมอยู่โดยชอบ ผู้ใดจะมีความคิดเห็นแน่อย่างนี้ว่า เราเป็นสตรี หรือเราเป็นบุรุษ หรือจะยังมีความเกาะเกี่ยวว่า เรามีอยู่ มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า โสมาภิกษุณี รู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
ต้องอดทนไหม ไม่ว่าในกาลใดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าใครก็ต้องอดทน ถ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม อดทนทั้งของคำพูดของบุคคลอื่น แล้วก็อดทนที่จะมีความเพียร พิจารณานามและรูป อบรมปัญญาให้แก่กล้า อดทนต่อการที่จะคอยผล ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ทั้งๆ ที่โสมาภิกษุณีนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง แล้วมารก็ได้ไปกล่าวคาถากับโสมาภิกษุณี ทำไมรู้เรื่อง เจริญสติรู้เรื่องได้ไหม รู้เรื่องได้ ไม่น่าสงสัยแล้วใช่ไหม เป็นปกติธรรมดาทุกอย่าง แม้ขณะที่รู้นั้นก็เป็นนามชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ติด ไม่ยึด ไม่ถือว่า เป็นสตรีหรือเป็นบุรุษ เป็นแต่เพียงสภาพของนามธรรมแต่ละชนิด ในพระสูตรมีข้อความซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับพุทธบริษัทในสมัยนี้ที่จะช่วยให้มีความอดทนมากๆ
สังยุตตนิกาย สคาถวรรคภิกขุณีสังยุตต์ วิชยาสูตร ที่ ๔ ข้อความก็คล้ายคลึงกัน คือ
ครั้งนั้นเวลาเช้า วิชยาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร แล้วไปบิณฑบาต ปัจฉาภัตแล้ว กลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
ลำดับนั้นมารผู้มีบาป ใคร่ที่จะให้วิชยาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหา
วิชยาภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกับวิชยาภิกษุณีด้วยคาถาว่า
เธอยังเป็นสาว มีรูปงาม และฉันก็ยังเป็นหนุ่มแน่น มาเถิด เรามาอภิรมย์กัน ด้วยดนตรีมีองค์ ๕
ลำดับนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ทันใดนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงได้กล่าวคาถา
ครั้นวิชยาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวคาถากะมารผู้
มีบาปด้วยคาถาว่า
ดูกร มาร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันน่ารื่นรมย์ใจ เราขอมอบให้ท่านผู้เดียว
ครั้นวิชยาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถาว่า
ดูกร มาร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ เราขอมอบให้ท่านผู้เดียว เพราะเราไม่ต้องการ เราอึดอัดระอาด้วยกายเน่าอันจะแตกทำลายเปื่อยพังไปนี้ กามตัณหาเราถอนได้แล้ว ความมืดในรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเข้าถึง ในอรูป-ภพที่สัตว์ทั้งหลายเป็นภาคี และในสมาบัติอันสงบทั้งปวง เรากำจัดได้แล้ว
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วิชยาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
ความจริงแล้วไม่ต้องให้ใครเอารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะมาให้ คนที่มีกิเลสยังต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นเอง เพราะฉะนั้น ต้องละกิเลสด้วยการเจริญปัญญารู้ลักษณะของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะตามความเป็นจริง จึงจะละได้ ไม่ใช่เพียงคิดละเท่านั้น
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...