อาจารย์ห้ามผู้เจริญสติปัฏฐานไปสู่สำนักใดสำนักหนึ่ง จริงหรือ

 
สารธรรม
วันที่  15 ก.ย. 2565
หมายเลข  43890
อ่าน  217

. ที่อาจารย์บรรยายการเจริญสติปัฏฐาน มีบางท่านกล่าวว่าการบรรยายของอาจารย์นี้ห้ามผู้เจริญสติปัฏฐานไปสู่สำนักใดสำนักหนึ่งโดยเฉพาะ ผมก็บอกว่า กระผมได้ฟังคำบรรยายนี้เหมือนกันแต่ไม่เคยทราบว่าอาจารย์ห้ามไว้เช่นนั้น อาจารย์เพียงแต่แนะนำว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นจะเจริญที่ใดก็ได้ ไม่จำกัด ที่ใดมีรูปนามที่นั่นเจริญได้ทั้งนั้น และท่านอาจารย์ยังพูดว่า การห้ามใครไม่ให้ไปในที่ใดนั้น ไม่ใช่วิสัย แล้วแต่ฉันทะของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น ผมอยากจะให้อาจารย์ย้ำอีกสักครั้งหนึ่งว่า การที่อาจารย์บรรยายนี้ไม่ได้ห้ามใครไม่ให้ไปเจริญสติปัฏฐาน ณ สำนักใด

สุ. ท่านผู้ฟังต้องการผู้ตัดสิน ผู้ชี้ขาด หรือต้องการไตร่ตรองธรรมด้วยตัวเอง เพราะบางท่านไม่สามารถตัดสิน หรือไตร่ตรองด้วยตนเอง เป็นผู้ที่เคยเชื่อในบุคคลมานานทีเดียว

เพราะฉะนั้น ถ้ามีศรัทธาในบุคคลใด บุคคลนั้นกล่าวว่าอย่างใดก็ถือว่าถูก เป็นจริง แล้วก็ปฏิบัติตามทุกประการ แต่ถ้าจะเปลี่ยนความเชื่อจากบุคคลนั้นไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง ก็ยังเป็นผู้ที่ต้องการความแน่ใจ ความมั่นใจที่จะให้ชี้ขาด หรือตัดสิน หรือกล่าวเป็นวาจาออกไป เพราะเคยชินกับการที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วยศรัทธาต่อบุคคลมานาน

ดิฉันเองไม่อยากจะให้ท่านผู้ฟังถือคำพูดของบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นเครื่องตัดสิน เป็นเครื่องชี้ขาด แต่ใคร่ที่จะให้ท่านผู้ฟังไตร่ตรอง ธรรมพิสูจน์ธรรมด้วยตัวเอง เพราะความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ทนต่อการพิสูจน์

เช่นเดียวกับการเห็นรูปารมณ์ที่กำลังปรากฏ ได้ยินกับเสียง กลิ่นกับการรู้กลิ่น รสต่างๆ กับการรู้รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง กับการรู้โผฏฐัพพะต่างๆ ซึ่งทนต่อการพิสูจน์ และเมื่อท่านพิสูจน์ด้วยการเจริญสติ ก็จะตรงต่อเหตุผล

สำหรับผู้ที่ไปสู่สำนักปฏิบัติ จำกัดอยู่ในห้องเล็กๆ ณ สถานที่หนึ่งสถานที่ใด เป็นชีวิตตามปกติจริงๆ เป็นอัธยาศัยจริงๆ ของท่านหรือไม่ บางท่านอาจจะกล่าวว่า ในพระไตรปิฎกมีแสดงว่า บางท่านบรรลุขณะที่กำลังบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี บางท่านที่กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ แล้วเห็นช่างดัดศร ก็คิดว่าควรจะดัดตน ฝึกตน จึงไม่บิณฑบาต ไปสู่กุฎี แล้วเจริญสมณธรรมบรรลุมรรคผล จริงๆ แล้วไม่ขึ้นกับสถานที่หรืออิริยาบถ ขณะที่กำลังเดินก็บรรลุได้ แล้วแต่ว่าอินทรีย์นั้นจะแก่กล้าในขณะใด

ปัญหาของท่านผู้ฟังก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันกล่าวถึง สัลเลขสูตร ที่ว่า

ผู้ที่ตนเองจมอยู่ในเปือกตมอันลึกแล้ว จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีไม่ได้

แต่ผู้ที่ตนเองไม่จมอยู่ในเปือกตมอันลึกแล้ว จักยกขึ้นซึ่งบุคคลอื่นที่จมอยู่ในเปือกตมอันลึก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทุกคนคาดคะเนธรรมตามความคิด ความเชื่อ ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งมีโอกาสผิดได้มาก เพราะอวิชชา ความไม่รู้ แต่ถ้าศึกษาก็จะทำให้เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น

สติมีหลายขั้น สติระลึกเป็นไปในทานก็มี ระลึกได้เป็นไปในศีลก็มี ในการเจริญความสงบเป็นสมถภาวนาก็มี เป็นการเจริญปัญญา รู้ลักษณะของนามและรูป เป็นสติปัฏฐานก็มี


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 72


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ