ให้เป็นกุศลจิตเรื่อยไป ไม่ให้มีอกุศลเกิดแทรก เป็นความเข้าใจผิด
บางคนสงสัยเหลือเกินว่า ธรรมชาติของจิตนั้นเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทีละหนึ่งดวง บางท่านเข้าใจว่า ถ้าในขณะที่อกุศลจิตคิดจะทำอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น เป็นเหตุให้กระทำสิ่งนั้นไปแล้ว อกุศลจิตจะต้องเกิดติดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าการกระทำนั้นจะจบ เช่น ถ้าต้องการจะเดินไปดูหนังเป็นโลภมูลจิต ก็จะต้องมีโลภมูลจิตนี้เกิดติดต่อกันเรื่อยไปจนกระทั่งถึงโรงหนังทีเดียว จิตประเภทอื่นไม่สามารถจะเกิดแทรกขึ้นได้ นี่เป็นความเข้าใจของบางท่าน
แต่ขอให้ท่านผู้ฟังลองคิดถึงเหตุการณ์จริงๆ ว่า จะต้องเป็นโลภมูลจิตอย่างเดียวเรื่อยไปจนกระทั่งถึงสถานที่ที่ท่านต้องการจะไป หรือมีโทสะเกิดก็ได้ ทั้งๆ ที่ในขณะที่เดินไปมีความต้องการที่จะไป เห็นมีไหม ได้ยินมีไหม ได้กลิ่นมีไหม คิดนึกเรื่องอื่นมีไหม เป็นสุข เป็นทุกข์ ชอบ ไม่ชอบได้ไหม นี่เป็นเรื่องชีวิตจริงๆ ที่พิสูจน์ได้ ที่แสดงให้เห็นความรวดเร็วของจิต หรือในขณะที่ทำกุศล ทำดอกไม้บูชาพระ อกุศล-จิตเกิดแทรกได้ไหม เกิดไม่พอใจบ้าง หรือคิดไปถึงเรื่องอื่นบ้าง แล้วในขณะที่กำลังคิดทำดอกไม้บูชาพระนั้นก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีสุข มีทุกข์ มีคิดนึกเรื่องต่างๆ เกิดได้ไหม ก็ได้
นี่ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นแล้วว่า จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก โดยที่อย่าไปคิดถึงอัตตาตัวตนที่จะจัดสรรให้จิตประเภทนั้นเท่านั้นเกิดติดต่อกันเรื่อยไป ไม่ให้จิตประเภทอื่นเกิดแทรกได้เลย ถ้าเป็นอกุศลก็ให้เป็นอกุศลเรื่อยไป ไม่ให้มีกุศลเกิดแทรก หรือถ้าเป็นกุศลจิต ก็ให้เป็นกุศลจิตไปตลอดเรื่อยไปไม่ให้มีอกุศลเกิดแทรก นี่เป็นความเข้าใจผิด ไม่ใช่สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วย
ขอให้คิดดูว่า ในขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ยืน เดิน พูดอยู่ก็ดี มีเห็นไหม ต้องมีแน่ มีคิดนึกไหม เป็นสภาพธรรมชาติแต่ละลักษณะที่ไม่เหมือนกัน เห็นก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมชนิดหนึ่ง อาศัยตาจึงเห็น รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนกับเห็นเลย ท่านที่ฟังแล้วพิจารณา สติระลึกรู้ที่ลักษณะของได้ยิน จะทราบได้จริงๆ ว่า สภาพรู้ทางหูนั้นไม่เหมือนกับสภาพที่กำลังเห็น คือ สภาพรู้ทางตาในขณะนี้
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ถึงลักษณะที่ต่างกันของสังขารธรรม ทั้งนามทั้งรูปที่มีลักษณะแตกต่างกัน เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วในวันหนึ่งๆ ถ้าสติระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูปที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะเป็นปกติธรรมดาทุกอย่าง ไม่ใช่ทำให้ผิดปกติ
การเจริญสติปัฏฐานนั้นไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องคิดว่า ถ้าเจริญสติปัฏฐานแล้วจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ จะทำสิ่งนี้ไม่ได้ กำลังเห็น ก็รับประทานอาหารด้วยได้ สติเกิดได้ไหม ก็ได้ แล้วแต่จะระลึกรู้ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องทำให้เกิดความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น
จิตเกิดดับสืบต่อรวดเร็วมาก ชั่วขณะที่เห็นก็รู้เรื่องซึ่งเป็นนามธรรมที่เกิดต่อ มีความพอใจ หรือไม่พอใจเกิดต่อ เพราะมีปัจจัยที่จะให้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไรที่จะให้เกิดความชอบ ไม่ชอบในสิ่งที่เห็น ไม่ใช่ไปยับยั้งไม่ให้เกิด แต่สติจะต้องระลึก รู้ลักษณะธรรมชาติที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แต่ละคนก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานของแต่ละคนนั้นเป็นการรู้จักสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน ที่เกิดขึ้นปรากฏในชีวิตจริงๆ ในวันหนึ่งๆ ของแต่ละบุคคล
มีท่านผู้ใดรู้จักตัวเองจริงๆ ไหม ถ้าไม่ได้ระลึก ไม่มีสติ ไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ รู้จักคนอื่นมากไหม ดูคนอื่นจะเห็นชัดเห็นง่าย แต่ถ้ารู้จักตนเองจะเข้าใจคนอื่นละเอียดขึ้นมาก เพราะเหตุว่าเราอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ปุถุชนมีกิเลสมากมายหนาแน่นทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอย่างไร ผู้ที่เริ่มเจริญสติก็รู้จักตนเอง และก็รู้จักผู้อื่นว่า ถ้าตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนก็ต้องเป็นอย่างนั้น มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สะสมมา แต่การเจริญสติทำให้ผู้นั้นละคลายการที่ไม่เคยพิจารณารู้ลักษณะของนามและรูป
การรู้จักตัวเองในชีวิตปกติประจำวันเท่านั้น จึงเป็นการรู้จักตัวเองอย่างถูกต้องแท้จริง ซึ่งก็เป็นลักษณะของนามธรรมรูปธรรมแต่ละชนิดที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 76
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง ...