อย่าคิดที่จะเจริญสติปัฏฐานตามแบบของผู้หนึ่งผู้ใด
ความจริงการเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่อัตตาตัวตนที่จะไปจงใจต้องการรู้นามไหนรูปไหนเลย แล้วแต่ว่าสติจะระลึกทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ถ้าผู้ใดเคยสะสมอบรมมาที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปบ่อยขึ้น ชินขึ้น สติจะไประลึกที่ลมหายใจก็เป็นเรื่องของสติเอง แต่ไม่ใช่ว่าเวลานี้ไม่ปรากฏ แต่อยากรู้ว่า ลมหายใจนั้นเป็นอย่างไร การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ว่าทุกท่านจะรู้นามละเอียดหมดตามที่พระสัพพัญญุตญาณได้ทรงแสดงไว้ แต่ผู้ใดจะรู้มากจะรู้น้อยจะรู้ประเภทไหนชนิดไหนก็แล้วแต่สติปัญญาที่ได้อบรมสั่งสมมา
เพราะฉะนั้น บางท่านศึกษาปริยัติมาก ก็อยากจะหายสงสัย เพื่อแก้ความสงสัยของตัวท่านเอง และของผู้อื่นด้วย ถ้ายังเป็นตัวตนที่ต้องการจะรู้ ไม่มีหนทางที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ตรงกันข้าม เจริญสติเรื่อยๆ รู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น สติจะระลึกรู้นามหรือรูปที่ละเอียดอย่างไรก็ได้ ตามควรแก่บุคคลนั้นๆ
อย่างท่านที่เคยสะสมมาในการเจริญอานาปานสติมาในครั้งอดีตในครั้งพุทธกาล มีความชำนาญในฌาน ในสมาธิ และเวลาที่ได้ฟังการเจริญสติปัฏฐาน จิตของท่านก็น้อมไปสู่ลมหายใจเพราะเคยเจริญ แต่สติจะต้องระลึกรู้ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนของลม และละความยึดถือว่าเป็นตัวตน นั่นสำหรับท่านที่เคยเจริญอานา-ปานสติมา
แต่ผู้ที่เป็นพุทธบริษัทในสมัยนี้ อย่าคิดที่จะเจริญสติปัฏฐานตามแบบของผู้หนึ่งผู้ใด อย่างเช่น ท่านได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงสละรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์เพื่อเป็นบรรพชิต แล้วท่านก็คิดว่าท่านจะต้องประพฤติอย่างนั้น ในปฐมยาม หรือในมัชฌิมยาม ในปัจฉิมยาม จะต้องให้จิตสงบ ระลึกชาติ หรือรู้จุติปฏิสนธิ แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นเป็นการพยายามทำตามแบบ แต่ตัวท่านไม่ใช่พระอรหันต-สัมมาสัมพุทธเจ้า
การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่จะไปทำตามแบบนั้นแบบนี้ เมื่อผู้ที่ได้เคยเจริญอานาปานสติมาก่อน ท่านจะเจริญสติปัฏฐาน ท่านก็ต้องตั้งต้นด้วยอานาปานสติ นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปทำตามแบบ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจการเจริญสติปัฏฐานให้ถูกต้อง ซึ่งแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันเลย มีการเห็น มีการได้ยินจริง แต่บางคนเป็นโลภะ บางคนเป็นโทสะ บางคนเป็นกุศลจิต บางคนเป็นอกุศลจิต
เพราะฉะนั้น แล้วแต่นามรูปประเภทใดเกิดกับบุคคลใด ผู้นั้นก็มีสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดกับตน เป็นอัธยาศัยของตนจริงๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปทำตามแบบบุคคลอื่น ถ้าสติของใครจะเกิดระลึกรู้ที่ลมหายใจ จะทำอย่างไร การละกิเลสยากเหลือเกิน ยากจริงๆ และเวลาระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป อาจจะพอใจยินดีอยู่ในขณะนั้น หรืออาจจะไม่พอใจ เป็นโทมนัส ไม่ชอบในอารมณ์นั้นก็ได้ กลัว หวั่นไหว ก็เป็นลักษณะของตัวตนอีกแล้ว
ถ้าผู้ใดไม่เจริญสติตามปกติจนกระทั่งชินกับนามและรูป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนามรูปประเภทใดก็เป็นแต่เพียงนามเป็นแต่เพียงรูปเท่านั้น และรู้ชัดขึ้น ละคลายเพิ่มขึ้น จึงจะเป็นหนทางให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ได้
แต่ก่อนที่จะถึงขั้นนั้นก็ยาก มีแต่ความหวั่นไหว ไม่พิจารณานามรูปที่กำลังปรากฏ หรือว่าดีใจตื่นเต้น ก็เลยจดจ้องต้องการที่จะให้รู้ชัดขึ้น นี่เป็นสติที่จะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปมากขึ้น ละเอียดขึ้น แล้วก็ละคลายมากขึ้น
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...