ผู้เจริญสติต้องรู้ชัดในนามในรูป ละคลายการยึดถือในนามรูป

 
สารธรรม
วันที่  17 ก.ย. 2565
หมายเลข  44032
อ่าน  190

เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนขึ้น ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย นิทานวรรค จตุตถวรรคที่ ๔ ในปุพพสูตร (ข้อ ๔๐๔) มีข้อความว่า

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยความเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออก โดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้เพียงใด เราก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เราเป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น แต่เมื่อใดเราได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุ ๔ เหล่านี้ เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์

อนึ่ง ญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้

แม้พระผู้มีพระภาคเองยังตรัสว่า ตราบเท่าที่พระองค์ยังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้ คือ ธาตุทั้ง ๔ เพียงใด พระองค์ก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก

เวลาที่กระทบสัมผัสเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ไม่สามารถที่จะละ การยึดถือนามรูปทั้งปวงว่า เป็นตัวตนได้ สติจะต้องเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น รู้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือว่าความทุกข์ที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมก็ตาม ผู้ที่เจริญสติจะต้องรู้ชัดในนามในรูป แล้วก็รู้วิธีที่จะละคลายการยึดถือมั่นในนามรูปด้วย


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 96


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ