ผู้เจริญสติต้องรู้ชัดในนามในรูป ละคลายการยึดถือในนามรูป
เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนขึ้น ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย นิทานวรรค จตุตถวรรคที่ ๔ ในปุพพสูตร (ข้อ ๔๐๔) มีข้อความว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยความเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออก โดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้เพียงใด เราก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เราเป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น แต่เมื่อใดเราได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุ ๔ เหล่านี้ เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
อนึ่ง ญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้
แม้พระผู้มีพระภาคเองยังตรัสว่า ตราบเท่าที่พระองค์ยังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้ คือ ธาตุทั้ง ๔ เพียงใด พระองค์ก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก
เวลาที่กระทบสัมผัสเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ไม่สามารถที่จะละ การยึดถือนามรูปทั้งปวงว่า เป็นตัวตนได้ สติจะต้องเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น รู้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือว่าความทุกข์ที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมก็ตาม ผู้ที่เจริญสติจะต้องรู้ชัดในนามในรูป แล้วก็รู้วิธีที่จะละคลายการยึดถือมั่นในนามรูปด้วย
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...