ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๘

 
khampan.a
วันที่  18 ก.ย. 2565
หมายเลข  44060
อ่าน  1,909

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๘




~
ขณะที่กำลังฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์และทรงแสดง เป็นการเริ่มปลูกฝังความเห็นถูก จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง

~ ประโยชน์สูงสุดของการฟัง แม้ในวันนี้ ก็คือ ได้ความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม เริ่มเข้าใจความเป็นธรรม

~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน แล้วความพยาบาทไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่า เป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย

~ คิดด้วยความเมตตาว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น

~ ขณะที่ได้ฟังพระธรรม ปัญญาจะทำให้เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งชีวิตข้างหน้าให้เป็นไปตามความเข้าใจถูก

~ รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าที่อกุศลยังมากมาย เพราะกุศลยังน้อย และ ยังน้อยมาก เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องมีการสะสมทางฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะคือความเห็นถูก

~ ถ้าทำดีแล้วปลอดภัยแน่นอน ไม่มีสิ่งที่ทำให้เดือดร้อนใจด้วยประการใดๆ เลยทั้งสิ้น

~ ผู้ใดหนักด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ยึดมั่นในความเห็นที่ไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ และไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่าก็ไม่ทิ้งหรือว่าทิ้งไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าความเห็นผิดหนักมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ถ่ายถอน ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นถูก หรือว่า ไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้งรู้จริงในสภาพธรรมตามที่ปรากฏและตามที่ได้ทรงแสดงไว้

~ การศึกษาทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย

~ เกิดมาทั้งชาติ ทุกชาติๆ หวั่นไหวมากเหลือเกินในเรื่องสุขและทุกข์ จนกว่าจะถึงวาระที่ไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์ ก็ลองคิดดูว่า เมื่อไหร่จะถึงอย่างนั้น ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ

~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่อบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น ก็จะต้องถูกพัดไปด้วยอกุศล และเป็นผู้หนาด้วยอกุศลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

~ ถ้าเรารู้กิจของปัญญา ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เราก็จะอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ทำกิจของปัญญาได้ แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด แล้วจะอ้อนวอนขอให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ และอยู่ดีๆ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ มีชีวิตอยู่อย่างประมาท ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ตายแล้ว เพราะผู้ที่ตายแล้ว ไม่สามารถเจริญกุศลได้ ไม่สามารถฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาได้

~ ความดี แม้เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่ทำ หรือ อกุศล (ความชั่ว) แม้เพียงเล็กน้อย ถ้าไม่เว้น ขณะนั้นก็พอกพูนอกุศล

~ พระธรรม จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะปัญญารู้ว่าแต่ก่อนนี้ เคยเป็นคนที่ไม่สนใจที่จะทำดีเลย แต่พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็เข้าใจว่า ถ้าไม่ทำดี ขณะนั้นก็เป็นอกุศล

~ น่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับความไม่ดีและควรกลัวด้วยความไม่ดี ไม่ได้นำผลที่ดีมาให้เลยทั้งสิ้น สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรเข้าใกล้ ไม่ควรที่จะสะสม คือ ความชั่วทั้งหลาย อกุศลทั้งหลาย แล้วคิดอย่างนี้หรือเปล่าระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่?

~ ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริง แม้ว่าจะไม่ใช้ชื่อใดๆ เรียกเลยก็ตาม เช่น เห็น ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่ต้องบอกว่านี่คือเห็น แต่ก็กำลังเห็นในขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ขณะที่ได้ยินเสียง ไม่ต้องเรียกอะไรทั้งหมด ปรมัตถธรรมคือสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนั้น โดยไม่ต้องใช้ชื่อใดๆ

~ สำหรับชีวิตแต่ละชาติ จะเห็นได้ว่า ถ้าในทุกๆ ชาติที่เกิดมา มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ละคลายอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ก็ย่อมไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่า กิเลสมากมายเหลือเกิน

~ แทนที่เราจะคิดว่า ทำไมคนอื่นไม่เป็นมิตรกับเรา แล้วทำไมเราไม่เป็นมิตรกับเขาล่ะ

~ ใครทำให้เกิดทุกข์? ไม่มีเลย อย่าไปโทษคนอื่น นอกจากกิเลสของตนเอง อยากแล้ว ไม่ได้ในสิ่งที่อยาก ก็โกรธ ใครทำให้

~ ทางผิด (มิจฉามรรค) นำไปสู่ความเห็นผิดยิ่งๆ ขึ้นไป สำคัญว่าได้เข้าใจถูก สำคัญว่าได้หลุดพ้น แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เป็นความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

~ การไม่รู้ความจริงเนิ่นนานมาในสังสารวัฏฏ์หนาแน่นมากมาย แต่ความเริ่มเข้าใจเพียงเล็กน้อยไม่เท่ากับการสะสมของความไม่รู้ ต้องอาศัยความเข้าใจสิ่งที่มีจากการได้ฟังพระธรรมจนกว่าจะมีปัญญามากกว่านี้เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมทุกประการเป็นเวลา ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนได้เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรม คนที่ได้สะสมบารมีมาแล้วสามารถที่จะรู้ความจริงได้เป็นจำนวนมาก

~ ฟังธรรมทุกคำเพื่อรู้ความจริงแต่ละหนึ่งว่าไม่ใช่เรา ถ้าไม่รู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งรวมกันแล้วปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้น ก็จะไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง

~ การสนทนาธรรมเป็นเรื่องสบายๆ จากการที่ไม่รู้เลย ได้ยินคำอะไรก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ว่า จริงหรือเปล่า?

~ ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร อยู่ที่นี่ก็สนทนากันถึงสิ่งที่กำลังมีเพื่อจะได้รู้ความจริง

~ สิ่งที่เกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย เป็นใครหรือเป็นของใครหรือเป็นอะไรได้ไหม? นี่เป็นความหมายของคำว่า อนัตตา

~ สิ่งที่เกิดเกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย เป็นสุญญตา (ว่างเปล่า) เหลือนิดเดียวได้ไหม? (ไม่ได้) นี่คือ ความมั่นคงในการเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา กล่าวถึงทุกอย่างที่มีจริงโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้มีความเข้าใจว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น

~ การฟังพระธรรม มีคุณค่า มีประโยชน์ ที่สามารถที่จะทำให้ออกจากกรงของกิเลสและความไม่รู้

~ เพราะไม่รู้จึงมีกิเลสและมีอกุศลมากมาย ไม่สามารถที่จะพิจารณารู้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

~ มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ฟังไปเถิด สะสมเป็นอุปนิสัยในการฟังพระธรรมต่อไป

~ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการได้ฟังคำของพระองค์



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๗



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
capacitor4
วันที่ 18 ก.ย. 2565

การศึกษาทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลด้วย

---

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนา อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Jans
วันที่ 18 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 18 ก.ย. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
petsin.90
วันที่ 18 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Junya
วันที่ 18 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนา และขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Naiyadee
วันที่ 18 ก.ย. 2565

สาธุ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไพรศรี
วันที่ 18 ก.ย. 2565

อนุโมทนา สาธุครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 18 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 19 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 19 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มังกรทอง
วันที่ 19 ก.ย. 2565

"ไม่มีขณะไหนเลยที่ไม่ใช่ธรรม" เข้าใจธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ แจ้งให้เรา (จิตและเจตสิก) ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนเข้าใจ และเข้าใจเพิ่มขึ้น จนประจักษ์แจ้ง นำสู่ละความเป็นเรา

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Pornkamol
วันที่ 19 ก.ย. 2565

กราบอนุโมทนา เจ้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ธีรพันธ์
วันที่ 21 ก.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย

กราบอนุโทนาในกุศลทุกประการทุกท่านครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ