อสัปปุริสธรรม - สัปปุริสธรรม

 
สารธรรม
วันที่  21 ก.ย. 2565
หมายเลข  44080
อ่าน  168

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สัปปุริสสูตร มีข้อความตอนหนึ่งว่า

ณ พระวิหารเชตวัน พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุ ทรงแสดงสัปปุริสธรรมกับท่านพระภิกษุเหล่านั้นว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อสัตบุรุษเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร อสัตบุรุษนั้นจึงยกตนข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ อสัปปุริสธรรม ส่วนสัตบุรุษแลย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรม คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่อมไม่ถึงความหมดสิ้นไป เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถึงแม้ภิกษุไม่ใช่เป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร แต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมอันสมควร คนทั้งหลายก็ต้องบูชาสรรเสริญเธอในที่นั้นๆ สัตบุรุษนั้นทำการปฏิบัติต่อภายในเท่านั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรนั้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แม้นี้ก็คือ สัปปุริสธรรม

ข้อความต่อไปเป็นเรื่องที่อสัตบุรุษทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตร ซึ่งกิเลสนั้นย่อมไม่หมดไปเพราะความเป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

อสัปบุรุษเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ซึ่งกิเลสก็ย่อมไม่หมดไป เพราะความเป็นผู้ เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร

อสัปบุรุษอยู่โคนไม้ กิเลสย่อมไม่หมดไปเพราะความเป็นผู้อยู่โคนไม้

อสัปบุรุษอยู่ป่าช้า กิเลสย่อมไม่หมดไปเพราะความเป็นผู้อยู่ป่าช้า

นอกจากนั้นเป็นเรื่องของธุดงค์ การขัดเกลานานาประการ และพระผู้มีพระภาคยังได้ตรัสถึง อสัปบุรุษที่ได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานไปจนกระทั่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วตรัสว่า

กิเลสย่อมไม่หมดไป เพราะปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เรื่อยไปจนกระทั่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน

กิเลสเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่ลึกมาก ถึงแม้ว่าจะอยู่ป่าเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกลเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร แต่ถึงอย่างนั้นกิเลสย่อมไม่หมด เพราะความเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร อยู่ป่าช้าเป็นวัตร หรือแม้จะได้ ฌาน ตั้งแต่ปฐมฌานไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็ไม่ทำให้กิเลส หมดไปได้

ถ้าเช่นนั้นประพฤติปฏิบัติเช่นไร กิเลสจึงจะหมดไปได้ เพราะเหตุว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละเอียดแล้วก็ลึกมาก ถ้าไม่รู้ชีวิตจริงๆ เป็นปกติ ที่มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะละคลายกิเลสได้เลย

ข้อความตอนท้ายมีว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค

ทรงกล่าวให้ไปอยู่ป่าหรือไม่ บางทีท่านผู้ฟังอาจจะคิดว่า ในขณะที่เจริญสติปัฏฐานนั้นพูดไม่ได้ คิดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ในขณะที่พูดเป็นนามหรือเปล่า เป็นรูปหรือเปล่า ปกติคิดหรือเปล่า หรือใครคิดจะห้ามใครว่าไม่ให้คิด หรือบางท่านอาจจะคิดว่า ถ้าคิดแล้วก็ไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น ขณะใดที่คิดขึ้นมาจะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้นเป็นอนัตตา ความคิดเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ใครรู้ ผู้เจริญสติจึงจะรู้ ผู้หลงลืมสติไม่รู้ ผู้ที่บังคับไว้ก็ไม่รู้ เป็นตัวตนที่บังคับ ที่กั้นไว้


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 103


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ