เพราะได้อบรมเจริญเหตุมา สมควรแก่ผล

 
chatchai.k
วันที่  21 ก.ย. 2565
หมายเลข  44092
อ่าน  139

พระนางเขมาเถรี ในสมัยพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเกิดเป็นทาสี เลื่อมใสในพระธรรม ได้ถวายขนมแก่พระสาวกรูปหนึ่ง แล้วอธิฐานขอให้ได้เป็นสาวิกาผู้มีปัญญามาก นั่นก็เป็นในสมัยของพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งใครก็ไม่ทราบได้ว่า เคยเป็นทาสีในสมัยไหนมาแล้ว แต่ว่าพระธรรมนั้นไม่จำกัดความเลื่อมใสว่า เฉพาะบุคคลนั้นบุคคลนี้ ไม่ว่าจะมีอาชีพใด มีกิจการงานประเภทใดก็ตาม ก็เป็นผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้

ในสมัยพระกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง แล้วก็ได้ถวายสวนแก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งในสมัยพระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ได้กระทำเช่นเดียวกัน ในสมัยพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน ท่านมีนามว่า สุมนี เป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสมาก แล้วก็ได้สร้างอารามถวาย

ในสมัยพระสมณโคดม พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ ท่านเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในแค้วนมคธมีชื่อว่า เขมา เป็นผู้ที่มีความสวยงามมาก ผิวกายของท่านนั้นดั่งทอง ท่านได้เป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน ท่านไม่ไปเฝ้าเลย เพราะท่านยังติดในความสวยงามของท่าน แต่ภายหลังก็ได้ฟังธรรม แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะนั้น

บางท่านคิดว่าต้องลำบากๆ ทุกข์ๆ ยากๆ ถึงจะเกิดความเลื่อมใสในพระธรรม แต่นี่ไม่จริง แล้วแต่อัธยาศัยของแต่ละบุคคล อย่างพระนางเขมาเถรี เป็นถึงตระกูลกษัตริย์ แล้วก็เป็นมเหสีของพระเจ้าพิมพิสารด้วย ทุกอย่างสะดวกสบายพร้อม ไม่จำเป็นต้องทุกข์ๆ ยากๆ โศกๆ เศร้าๆ อะไรเลย แต่เพราะได้อบรมเจริญเหตุมาสมควรแก่ผล ถึงแม้ว่าในภพที่ท่านจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านยังติดในความสวยงามของท่านก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วย

ชีวิตของทุกคนในขณะนี้ ไม่มีใครทราบว่า พระธรรมจะเปลี่ยนท่านไปได้มาก น้อยอย่างไร ทำให้ท่านเริ่มเจริญสติ พิจารณารู้ลักษณะของนามและรูป ไม่หวั่นไหวในลาภสักการะ ในวงศาคณาญาติ หรือโลกธรรมต่างๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ถ้าท่านไม่รู้อะไรเลย แล้วได้ฟังพระธรรมเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ทั้งๆ ที่มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ มีสี มีเสียง มีกลิ่น มีรสปรากฏ ก็ไม่รู้ลักษณะของนามและรูป จะให้เป็นอุคฆฏิตัญญูเวลาที่ฟังเข้าใจแล้วบรรลุมรรคผล นั่นก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่สะสมเจริญอบรม จนกว่าจะเป็นเนยยบุคคล หรืออุคฆฏิตัญญู หรือวิปัญจิตัญญู

ฟังอย่างนี้เหมือนกับพระนางเขมาเถรีไม่ได้เจริญสติปัฏฐานเลย แต่ถ้าไม่เจริญสติปัฏฐานเลยจะรู้ชัด รู้จริง รู้ยิ่งก็ไม่ได้ บางคนอาจจะกำลังมีสติระลึกที่ลักษณะของนาม หรือรูปทางหนึ่งทางใด แต่ยังไม่รู้ชัด ยังไม่รู้ยิ่ง ยังไม่ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามนั้นรูปนั้น ยังรวมกันอยู่ ยังไม่รู้ทั่วถึงว่า เสียงไม่ใช่นามได้ยิน ไม่ใช่นามรู้เรื่อง ไม่ใช่ความพอใจ หรือความไม่พอใจที่เกิดเนื่องมาจากการได้ยิน เป็นสิ่งที่จะแสดงให้เห็นจริงๆ ว่า การที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามจริงๆ ของรูปจริงๆ แต่ละลักษณะได้นั้น ผู้เจริญสติเป็นผู้ที่รู้ชัด


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 104


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ