ระลึกถึงสภาพอันชราของร่างกาย บรรลุเป็นพระอรหันต์

 
chatchai.k
วันที่  21 ก.ย. 2565
หมายเลข  44098
อ่าน  178

อีกตัวอย่างหนึ่ง ใน ขุททกนิกาย อัมพปาลีเถรีคาถา ท่านเป็นผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วในอดีต ในสมัยพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ท่านก็ได้ออกบวช วันหนึ่งท่านได้เดินบูชาพระสถูป ไปข้างหลังหมู่ภิกษุณี พระอรหันตเถรีที่เดินไปข้างหน้าท่านบ้วนน้ำลายลงในที่นั้น ท่านเดินไปข้างหลัง แต่ไม่เห็นการกระทำของภิกษุณีที่อยู่ข้างหน้า ท่านก็ได้กล่าวเป็นเชิงตำหนิว่า

หญิงแพศยาที่ไหน มาถ่มน้ำลายลงในที่นี้

จิตใจของแต่ละคนซึ่งมีความโน้มเอียงตามที่ได้สะสมมา แม้แต่คำพูด ถ้าเห็นการกระทำอย่างเดียวกันนี้ ๑๐ คนก็คงจะพูดไม่เหมือนกัน สำหรับท่านก็ได้กล่าวเป็นเชิงตำหนิว่า หญิงแพศยาที่ไหนมาถ่มน้ำลายลงในที่นี้

ในชาติสุดท้าย คือ สมัยพระผู้มีพระภาคพระสมณโคดมพระองค์นี้ ท่านมีความงามเป็นที่นิยมชมชื่นของพวกราชตระกูลทั้งหลาย ต่างพากันพยายามที่จะช่วงชิงท่านไปเป็นสมบัติของตน และในที่สุดจึงได้ตกลงกันให้ท่านเป็นหญิงงามเมือง

ต่อมาด้วยความเลื่อมใสในพระศาสนา ท่านได้สร้างวิหารในสวนมะม่วงของท่านถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระผู้มีพระภาคเป็นประมุข และเมื่อท่านได้ฟังธรรมจาก พระวิมลโกณทัญญะ ซึ่งเป็นบุตรของท่านที่เกิดกับพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเจริญปัญญาพิจารณาร่างกายอันชราของท่านเอง

จะเห็นได้ว่า ในขณะที่ฟังธรรม ในขณะที่แสดงธรรม ในขณะที่กล่าวคาถา หรือในขณะที่ปฏิบัติธรรมก็ตาม จิตของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แล้วแต่เหตุปัจจัย สังเกตได้จากคาถาของพระเถระและพระเถรีทั้งหลายว่า มีความโน้มเอียงหรือมีชีวิตในทางใด ก็กล่าวอย่างนั้น

ท่านอัมพปาลีเถรีกล่าวคาถาว่า

เมื่อก่อนผมของเรามีสีดำคล้ายกับสีปีกแมลงภู่ มีปลายงอน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเช่นปอ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนมวยผมของเรามีกลิ่นหอมดุจอบด้วยดอกมะลิเป็นต้น เต็มด้วยดอกไม้ เดี๋ยวนี้มีกลิ่นเหมือนขนกระต่าย เพราะชรา

นี่เป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จริงๆ ตามกาลเวลา แม้แต่อัมพปาลีซึ่งเป็นผู้ที่มีความงามมาก แต่เมื่อถึงวัยชรา ท่านก็พิจารณาสังขารร่างกายของท่านตามที่เป็นจริงในขณะนั้น ท่านกล่าวว่า

เมื่อก่อนผมของเรามีปลายอันงาม วิจิตรด้วยหวีและเครื่องปักผม เหมือนป่าไม้อันปลูกเป็นแถวงามสะพรั่ง เดี๋ยวนี้กลายเป็นผมโกร๋นในที่นั้นๆ พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนผมของเราประดับด้วยมวยผมอันงดงาม ดังประดับด้วยทองคำอันละเอียด มีกลิ่นหอม เดี๋ยวนี้ล้านตลอดหัว เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

ที่อ่านข้อความที่ท่านอัมพปาลีเถรีกล่าว ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนนี้เปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งนั้น ท่านกล่าวว่า

เมื่อก่อนคิ้วของเรางดงามคล้ายรอยเขียน อันนายช่างเขียนดีแล้ว เดี๋ยวนี้กลายเป็นคิ้วคดเคี้ยวเหมือนเถาวัลย์ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนนัยน์ตาของเราดำขลับเหมือนนิลมณี รุ่งเรืองงาม เดี๋ยวนี้ถูกชราขจัดแล้ว ไม่งามเลย พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อเวลาเรายังรุ่นสาว จมูกของเราโด่งงามเหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้กลับห่อเหี่ยวไปเหมือนจมหายเข้าไปในศีรษะ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนใบหูของเรางดงามเหมือนตุ้มหูที่ทำเสร็จเรียบร้อยดี เดี๋ยวนี้กลับหย่อนยานเหมือนเอาเถาวัลย์ห้อยไว้ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนฟันของเราขาวงามดีเหมือนสีดอกมะลิตูม เดี๋ยวนี้กลายเป็นฟันหักและมีสีเหลือง เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนเวลาพูด เราพูดเสียงไพเราะเหมือนเสียงนกดุเหว่า อันมีปกติเที่ยวไปในไพรสณฑ์ ร่ำร้องอยู่ในป่าใหญ่ฉะนั้น เดี๋ยวนี้คำพูดของเราพลาดไปทุกๆ คำ เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนคอของเรางดงามกลมเกลี้ยงเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว เดี๋ยวนี้ย่น เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนแขนทั้งสองของเรางดงามเปรียบดังกลอนเหล็กอันกลมฉะนั้น เดี๋ยวนี้ลีบ คด ดุจฝักแคฝอย เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เมื่อก่อนมือทั้งสองของเราประดับด้วยแหวนทองคำงดงาม เดี๋ยวนี้เป็นเหมือนเหง้ามัน เพราะชรา พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

และมีข้อความต่อไป ไม่ว่าท่านจะพิจารณาส่วนใดที่กายของท่าน ท่านก็เห็นว่าพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสจริง เป็นคำจริงแท้ ไม่กลับกลายเป็นอย่างอื่น

เวลานี้ไม่ทราบว่า มีผู้ใดพิจารณากายได้เหมือนอย่างอัมพปาลี คือ พิจารณาทั้งตา ทั้งคอ ทั้งมือ ทั้งแขน ทั้งผม นี่ก็อายุกาล แล้วแต่ว่าจะผ่านไปให้พิจารณาได้มากน้อยเท่าไร สมมติว่าเป็นสัก ๒๐๐ ปี ที่จะพิจารณานั้นก็คงจะยิ่งกว่าที่ท่านได้พรรณนามาดังที่ได้กล่าวแล้วเป็นอันมากทีเดียว เพราะเพียงแต่สัก ๘๐ ปีบ้าง หรือ ๙๐ ปีบ้าง ๑๐๐ กว่าปีบ้าง ความจริงนี้ก็ต้องปรากฏ แต่ถ้ายิ่งมากถึง ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี นั่นก็คงจะต้องมีลักษณะที่แปรปรวนอย่างมากทีเดียว

จะเห็นได้ว่า แม้ความคิดก็ไม่เหมือนกัน อย่างท่านที่เคยทุกข์ยากในชีวิต เวลาที่ท่านฟังธรรม ปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตปกติ ใจของท่านก็ระลึกไปถึงอดีตเมื่อครั้งที่ทุกข์ยาก แต่อัมพปาลีเถรีไม่ได้มีความทุกข์ยากอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ท่านก็คิดและระลึกไปถึงสังขารของท่าน เพราะชีวิตของท่านเป็นไปตามการสะสมตั้งแต่ครั้งอดีตที่ได้ตำหนิพระอรหันต์เถรี ด้วยความโน้มเอียงที่ใช้คำพูดว่า หญิงแพศยาคนไหนมาบ้วนน้ำลายไว้ที่นี่ ชีวิตของท่านจึงต้องเป็นหญิงงามเมือง แต่ท่านเจริญปัญญาระลึกถึงสภาพอันชราของร่างกาย ประจักษ์ความไม่เที่ยงของสังขารธรรมทั้งปวง แล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

นี่ก็เป็นชีวิตในครั้งพุทธกาล เป็นชีวิตปกติธรรมดาทุกอย่าง แต่ได้สะสมบุญมาแล้ว เมื่อท่านได้ฟังธรรม และประพฤติปฏิบัติธรรม จึงสามารถรู้แจ้งเป็นพระอรหันต์ได้

เท่าที่ยกตัวอย่างมาแล้ว คงคิดว่า ส่วนมากเป็นเรื่องของพระเถรี พระเถระท่านจะคิดอย่างไร แล้วท่านจะกล่าวคาถาอย่างไรบ้าง


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 105

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 106


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ