ผู้ที่ยังฝันอยู่ เป็นเพราะยังมีกิเลส ยังมีอวิชชา
ขุททกนิกาย เถรคาถา มีพระเถระอีกท่านหนึ่ง คือ ท่านอุสภเถระ กล่าวคาถาว่า
เราฝันว่าได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบนคอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอเข้าไปถูกมหาชนพากันมารุมดูอยู่ จึงลงจากคอช้าง กลับลืมตาตื่นขึ้นแล้ว ครั้งนั้นได้ความสลดใจว่า ความฝันนี้เราไม่ได้มีสติสัมปชัญญะ นอนหลับ ฝันเห็นแล้ว
ครั้งนั้นเราเป็นผู้กระด้าง ด้วยความมัวเมาเพราะชาติตระกูล ได้ความสังเวชแล้ว ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ
ทุกคนฝัน แต่เกิดความสลดใจบ้างไหมว่า ที่ฝันนี้เป็นเพราะยังมีกิเลส โลภะเกิดขึ้น โทสะเกิดขึ้น วันหนึ่งๆ ผู้ที่มีสติก็ทราบได้ว่า กิเลสมากมายเหลือเกิน ไม่น้อยเลย เดี๋ยวทางตา ถ้ามีสติระลึกได้เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง ทางหูมีสติ ก็ระลึกได้เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้างตลอดวัน แม้แต่ในขณะที่นอนแล้วยังฝัน ความฝันเป็นนามธรรม เป็นจิตที่ได้สะสมการเห็นสิ่งต่างๆ ทางตา ได้ยินเสียงต่างๆ ได้กลิ่นต่างๆ ได้รสต่างๆ ได้สัมผัสต่างๆ คิดนึก สุข ทุกข์ ชอบ ไม่ชอบต่างๆ ด้วยอำนาจของอวิชชาที่มีอยู่ พร้อมกับความฟุ้งซ่านของจิตของเจตสิกธรรม คือ อุทธัจจะ ก็ทำให้เกิดจิตที่รู้อารมณ์ทางมโนทวาร แล้วแต่ว่าจะระลึกไปในเรื่องใด แต่ผู้ที่ฟังธรรมแล้ว ท่านก็ทราบว่าหมดกิเลสแล้วจึงจะไม่ฝัน แต่ถ้ายังไม่หมดกิเลสก็ฝัน
เพราะฉะนั้น ถ้าฝันขณะใด ผู้มีปัญญาก็เกิดความสลดใจว่า ในขณะนั้นเป็นเพราะยังมีกิเลส อย่างพระอรหันต์ผู้ที่หมดกิเลสแล้ว เวลาที่ท่านเห็น จิตของท่านไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ไม่มีกิเลสใดๆ เลย เวลาเห็นแล้วมหากิริยาจิตเกิดขึ้นมีสติเกิดร่วมด้วย เมื่อได้ยินแล้วจิตของพระอรหันต์เป็นมหากิริยาจิตมีสติเกิดร่วมด้วย ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะ ตามปกติธรรมดาทุกอย่าง แต่เพราะท่านได้เจริญสติ เจริญปัญญา รู้ทั่ว รู้จริง รู้ชัดเจนจนกระทั่งหมดกิเลสทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีฝัน
แต่ผู้ที่ยังฝันอยู่ ก็ให้ทราบว่า เป็นเพราะยังมีกิเลส ยังมีอวิชชา แล้วแต่ว่าจะฝันเป็นกุศลหรือจะฝันเป็นอกุศล ก็เหมือนกับในวันหนึ่งๆ เห็นแล้วก็เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ความฝันก็เช่นเดียวกัน สะสมสิ่งใดมามาก บางครั้งก็เป็นกุศลบ้าง แต่ส่วนมากในขณะที่ฝันจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ
ท่านผู้ใดเคยฝันว่าเจริญสติปัฏฐานบ้างไหม ถ้าเคยฝัน ก็เพราะได้สะสมอบรมมาในการเจริญสติ แล้วสติเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ต้องเตรียมตัวที่จะจดจ้องที่นี่ ที่จะรู้นามนั้นหรือรูปนั้น แล้วแต่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้อารมณ์อะไร ทางตา หรือทางหู สติก็เกิดขึ้นแล้ว และก็ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เมื่อสติเป็นอนัตตาอย่างนี้ แล้วก็ได้เจริญสติ สติจะเกิดขึ้นบ้างได้ไหมในขณะนั้น ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่น้อย จิตที่รู้อารมณ์ทางมโนทวารที่เป็นความฝัน พร้อมกับที่อุทธัจจะเกิด ไม่ได้รู้อารมณ์เหมือนอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในขณะนี้ ก็ทำให้ปรากฏเป็นความฝันต่อไป
แต่ถ้าสติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามรูปในขณะนั้นมีกำลัง และจิตที่เกิดต่อไปนั้นไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิดเป็นความฝันอีกต่อไป คนนั้นก็ตื่นทันที เมื่อตื่นทันที ก็ต่อกัน ได้รู้อารมณ์ในขณะนั้น แล้วก็ตื่นขึ้น ส่วนที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปต่อไปหรือไม่นั้น ก็เป็นอนัตตาอีกเหมือนกัน เพราะเวลาที่ตื่นขึ้นมาแล้ว สติอาจจะระลึกรู้นามและรูปต่อไปทันที หรืออาจจะหลงลืมสติ แล้วสติเกิดอีกก็ได้ ธรรมดาๆ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปยับยั้ง หรือไปห้ามว่าเกิดไม่ได้ แต่ให้ทราบเหตุผลว่า ถ้าเกิดทำไมจึงคิดว่าเป็นฝันที่เจริญสติ ก็เพราะเกิดน้อย และอารมณ์ของฝันนั้นก็เข้ามาต่อทันที แต่อารมณ์ของความฝันไม่ต่อ แล้วสติมีกำลัง ผู้นั้นก็ตื่นขึ้นทันที และรู้ว่าในขณะนั้น เมื่อสักครู่นี้ระลึกรู้ลักษณะของนามอะไรของรูปอะไร ส่วนการที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปเป็นสติปัฏฐานต่อไปหรือไม่ บางคนก็ระลึกต่อไป บางคนก็หลงลืมสติ แล้วก็ระลึกอีกได้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...