มีสิ่งที่ปรากฏ เป็นของจริงควรระลึกรู้ไหม
มีสิ่งที่ปรากฏ เป็นของจริงควรระลึกรู้ไหม
สุ. เวลาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏทางตาระลึกได้ไหม มีสิ่งที่ปรากฏทางหูเป็นของจริงไหม ระลึกรู้ได้ไหม มีสิ่งที่ปรากฏทางจมูกเป็นของจริง ควรระลึกรู้ไหม เวลาที่รับประทานอาหารมีรสปรากฏ เป็นของจริงควรระลึกรู้ไหม มีการกระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็งที่กำลังปรากฏเป็นของจริง ควรระลึกรู้ไหม มีสุข มีทุกข์เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ เป็นประจำ แล้วก็หลงลืมสติไป ควรจะระลึกรู้ไหม ดิฉันเรียนถามเท่านี้ก่อนว่า ควรจะระลึกรู้หรือไม่ควร ส่วนที่ท่านจะระลึกได้หรือไม่ได้นั้นเป็นเรื่องของท่าน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอเรียนถามถึงเหตุผลก่อนว่า เป็นสิ่งที่ควรระลึกรู้ หรือว่าไม่ควรระลึกรู้
ถ. ถูกครับ เป็นสิ่งที่ควรระลึกรู้
สุ. ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ทำไมคนอื่นเดือดร้อน
ถ. ผมไม่เดือดร้อนอะไรหรอกครับ
สุ. ที่บอกว่าไม่เดือดร้อน คือ รับรองว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม
ถ. ผมก็ยอมยากเหมือนกัน ของจริงนั้นมีอยู่ ทีนี้ความแยบยลที่พระผู้มีพระภาคท่านทรงแยกกายา เวทนา จิตตา ธัมมา แยบยลมาก มีเหตุผลมาก แล้วทำไมผมถึงบอกว่าอิริยาบถ ๔ นี่ชัดเจนเลย เรานั่งหมักดองมาไม่รู้กี่ชาติแล้วจนถึงปัจจุบัน ทีนี้ความรู้สึกนี้ต้องเปลี่ยนไป ในขณะที่เรามีสติระลึกรู้ว่า นี่เป็นรูป ที่จริงในขณะที่เรารู้ว่าเป็นรูปก็เป็นจินตาญาณอยู่ ยังเป็นความคิดนึกอยู่ ยังไม่ได้ถ่ายความรู้สึกเลย เพราะวิปัสสนาที่จะเกิดขึ้นได้ ความรู้สึกต้องเปลี่ยน เมื่อปฏิบัติไปแล้วความรู้สึกต้องเปลี่ยน พอท่านทำไปความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม ก็อาจจะเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง นิดหนึ่งนี่ท่านต้องโยนิโสต้องจำเอาไว้ เพราะบางทีท่านอาจจะไม่ได้ทำต่อ พอท่านไปทางโลก ไปทำงานกลับมาบ้าน เข้าห้องปิดประตูเอาใหม่ คือ เราต้องเอาเหตุผลที่ตนพิสูจน์ได้ เวลานี้ที่ท่านมานี่ท่านก็ต้องฟังอาจารย์ ท่านต้องทำความเข้าใจ ท่านไม่ได้มีรูปนามเป็นอารมณ์ กายาท่านก็ไม่มี ผมพูดไปนี่ถ้าเป็นท่านอยู่กัมมัฏฐาน ท่านไม่รู้เรื่องเห็นแต่เป็นรูปเป็นนาม ได้ยินนี้ก็เป็นนาม แล้วจะไปรู้เรื่องอะไร
สุ. การสังวรไม่ได้มี ๕ ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วย เพราะว่าบางครั้งไม่ได้ระลึกทางตา แต่เวลาที่โลภะเกิดขึ้น สติระลึกได้เป็นมนินทรีย์สังวร หมายความถึงการสังวรทางใจ ไม่ได้กล่าวว่า มีสังวรเพียง ๕ ทาง
และที่ว่าเวลาที่เจริญสติปัฏฐานไม่รู้อะไรเลย จะไม่รู้ความหมายของสิ่งที่เห็น จะไม่รู้เรื่องของเสียงที่ได้ยิน ซึ่งในพระไตรปิฎกไม่มี แต่เพราะเหตุว่าสภาพที่รู้เรื่องก็เป็นนามธรรม เป็นของจริง ผู้ที่จะมีปัญญารู้ชัดเป็นพระอริยเจ้าได้ ผู้นั้นไม่มีความสงสัยในลักษณะของนามรูป ไม่มีการปฏิเสธว่าขณะนั้นไม่ได้ ขณะนี้ไม่ได้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...