ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๙
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ใดที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว มีทุกข์ทุกขณะ แต่ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเป็นปุถุชน ผู้ไม่รู้อะไรเลย ผู้มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งละความไม่รู้และค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งกิเลสดับหมดไม่เหลือ นี่คือความน่าอัศจรรย์ยิ่งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจากผู้ที่มีกิเลสมาก ไม่มีกิเลสเลย เมื่อได้เข้าใจความจริง
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อใคร? เพื่อผู้ฟังทุกคนที่จะได้เข้าใจถูก และเมื่อมีความเข้าใจถูกแล้ว ปัญญาก็สามารถที่จะเลือกสรรถือเอาแต่เฉพาะสิ่งที่ถูก แล้วก็ทิ้งสิ่งที่ไม่ควร
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นที่เคารพสูงสุดที่จะไม่ประมาท ที่จะรู้ว่าฟังเท่าไหร่? เข้าใจแค่ไหน? เทียบกับที่พระองค์ทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษาโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ ค่อยๆ ละความไม่รู้ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น ไม่กี่วันก็จากโลกนี้ไปแล้ว รู้อะไรบ้างในโลกนี้ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดตั้งแต่เกิด ไม่รู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม และชาติต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ชาติก่อนก็เป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ
~ โลภะก็เป็นธรรมด้วย โทสะก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น การฟังก็เหมือนกับการเตือนไม่ให้ลืม ไม่ว่าจะเกิดโทสะ ถ้าระลึกได้ ขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ฟังจนกระทั่งความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมจรดกระดูกคือไม่ลืม จึงสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องยิ่งขึ้นได้
~ ผู้ใดที่ยอมรับความจริง ที่รู้ว่าตนเองไม่ดี ผู้นั้น ก็เริ่มที่จะอบรมเจริญกุศลที่จะขัดเกลาอกุศลทั้งหลายให้เบาบาง แต่ตราบใดถ้ายังคิดว่าดีแล้วอกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่า ไม่คิดที่จะละอกุศล เพราะเข้าใจว่าดีแล้ว
~ ไม่ควรจะเห็นว่าอกุศลธรรมแต่ละขณะนั้นเล็กน้อย ไม่เป็นไร แต่ควรที่จะขัดเกลา ระงับ ขจัดอกุศลธรรมเหล่านั้นโดยเห็นโทษเสียก่อน เพราะฉะนั้น ต้องขึ้นอยู่กับปัญญาที่ว่า ท่านเห็นโทษของอกุศลมากน้อยเพียงไร อย่าเพียงแต่เห็นโทษของอกุศลที่ถึงขั้นที่จะล่วงทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา แต่แม้ว่าไม่ใช่อกุศลที่แรงจนถึงกับล่วงทุจริตกรรม ก็ต้องเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรขจัดให้เบาบางด้วย
~ ให้ทานไปแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากที่ให้ทาน และหวังผลว่าที่ให้ทาน จะทำให้เราเกิดบนสวรรค์ หรือมีรูปร่างสวยงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย ขณะนั้น สละกิเลสหรือเปล่า?
~ แม้ว่ายังไม่พ้นจากการติดการข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบกาย) แต่ก็ยังเป็นผู้ที่เห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล ก็อบรมเจริญกุศลทุกประการ โดยไม่ประมาทว่า เป็นกุศลเพียงเล็กน้อย และเวลาที่เห็นโทษภัยของอกุศล ก็ไม่ประมาทว่า เป็นโทษภัยของอกุศลเพียงเล็กน้อย
~ การเริ่มเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงในสังสารวัฏฏ์ จะทำให้มีความอดทนและรู้ว่าธรรมลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ความลึกซึ้งของธรรม จะทำให้มีบารมีที่จะอดทนและทำความดีเพิ่มขึ้นจนสามารถที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ได้
~ ถ้าเราไม่พูดสิ่งที่ถูกต้อง ชักชวนเขาในทางที่ผิด เราเป็นมิตรหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าใครเป็นมิตร ถ้าเป็นคนที่ทำให้เข้าใจถูก จะเป็นผู้ที่มิใช่มิตรได้หรือ ในเมื่อเพราะหวังดีที่จะให้เข้าใจถูก จึงได้กล่าวคำที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ทราบไหมว่าใครเป็นมิตรที่ดีที่สุด? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร? เพราะตรัสให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมที่ถูกต้อง
~ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก มิฉะนั้นแล้ว ก็คือ สะสมความไม่รู้และอกุศลอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะเห็นอะไรที่น่าเพลิดเพลินหรือไม่น่าพอใจทั้งหมดก็คือ สะสมอกุศลอยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การสะสมความเข้าใจธรรมแต่ละขณะก็จะทำให้การที่เคยเป็นผู้ที่ติดข้องในเรื่องของความไม่รู้ในเรื่องของอกุศลลดน้อยลง อย่างอื่นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลงได้เลย นอกจากความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยด้วย แม้แต่เพียงขณะนี้ที่เข้าใจยังไม่มั่นคงพอ ถ้ามั่นคงพอก็จะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรม แต่ว่าสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏด้วย
~ ความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ก็จะทำให้สามารถเป็นไปในทางกุศลและก็เข้าใจธรรมยิ่งขึ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
~ การแก้ปัญหาทุกอย่าง อกุศลแก้ไม่ได้แน่นอน ดูเสมือนว่าจะแก้ได้ แต่แก้ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ปัญหามาจากไหน ปัญหามาจากจิตซึ่งเป็นอกุศลทั้งนั้น ปัญหาไม่ได้มาจากกุศลจิตเลย ปัญหาทุกปัญหามาจากอกุศลจิต เพราะฉะนั้น จะให้อกุศลจิตหรืออกุศลธรรมแก้ปัญหา เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญญาสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยกุศลจิต ด้วยความหนักแน่นมั่นคงในคุณความดีหรือในธรรมฝ่ายกุศล เพราะฉะนั้น ก็สามารถแก้ทุกสถานการณ์ได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะในขณะนั้น แต่แม้ในขณะต่อๆ ไป กุศลก็ไม่ได้ให้โทษเลย
~ ความไม่ดีทั้งหมด ความไม่เป็นสุขทั้งหมดมาจากไหน ก็มาจากใจซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส และถ้ายังคงมีกิเลสมากๆ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นสุขกันได้ ตั้งแต่ตนเองและคนอื่นทั่วหน้า เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงรู้ว่า กิเลสเบาบางลงเท่าไหร่ ความผาสุก ความเจริญ ก็จะมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น
~ มีเงินทองมากมายมีทรัพย์สมบัติ หรือว่า จะมีคำสรรเสริญชื่นชมอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด แต่จิตเป็นทุกข์ได้ไหม? ก็ได้ ตราบใดที่ยังมีกิเลส จะไม่รู้เลยว่าที่ทุกข์เพราะกิเลส แต่พอได้เริ่มเข้าใจแล้วก็ค่อยๆ มีกิเลสที่เบาบางลง จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์จริงๆ แต่ก็ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะชำระจิตได้
~ การที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ก็คือ ชีวิตประจำวัน เมื่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร ดีขึ้นทั้งกาย ทั้งวาจา เพราะใจมีความเข้าใจธรรมขึ้น ก็แสดงว่าทั้งหมด ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวง แม้แต่การที่จะพูด สองคนพูดเรื่องเดียวกัน เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่คำพูดต่างกันได้ ตามจิตในขณะนั้นซึ่งขณะที่ขัดเกลากิเลส ก็จะเป็นมิตรกับคนที่เราพูดด้วย ไม่ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้น คำพูดจากมิตร จะต่างกับคำพูดที่ไม่ได้คำนึงถึงคนฟังเลย
~ กิเลสที่มีกำลังแรงเกิดได้ เพราะว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ฉันใด ปัญญาที่คมกล้า ถ้าไม่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งมีกำลังแล้วจะเป็นปัญญาที่คมกล้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดถึงปัญญา ต้องเข้าใจถึงอรรถว่า หมายความถึงสภาพปรมัตถธรรมที่สามารถประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ
~ สภาพธรรมทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นเรา เป็นทุกข์ไหม? ไม่ได้สิ่งที่พอใจ ขวนขวายหาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่พอใจ แต่เมื่อไม่ได้ก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้ว่า ได้หรือไม่ได้ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ แม้แต่ทุกข์หรือสุขก็บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราว แสนสั้น ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จะเดือดร้อนไหม?
~ ร่างกายนี้เป็นของเราหรือเปล่า? ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นของเราหรือเปล่า? หลงเข้าใจว่าเป็นเราและของเรามานาน แต่ความจริงก็คือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบสัมผัสก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ แขนขาด ขาขาด ฟันหัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ไหนล่ะ "เรา" ไหนล่ะ "ของเรา" เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง แล้วก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ซึ่งนำความทุกข์มาให้
~ ชีวิตที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ ทั้งหมด มาจากธรรมฝ่ายไม่ดี ซึ่งเป็นอกุศลธรรม ซึ่งใครก็ดับไม่ได้ ถ้าไม่รู้ คือ ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่อาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น ด้วยเหตุนี้ แต่ละครั้งที่มีการรู้ความจริง แม้เพียงเล็กน้อย ว่าเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
~ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนเข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ หมดความไม่รู้ หมดกิเลส ทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่งที่ทุกคนบอกว่า ถ้าหมดกิเลสได้ ต้องสบายแน่ เพราะเหตุว่า ที่เป็นทุกข์ เดือดร้อน เพราะกิเลส
~ ความติดข้อง นำมาซึ่งความทุกข์ แต่เมตตา ไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้เลย เพราะว่า เป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลย ทั้งสิ้น และความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน คิดดู โกรธก็ยังไม่โกรธเลย เพราะเหตุว่า จะไปโกรธเพื่อนได้อย่างไร ถ้ายังเป็นเพื่อนกับเขา จะโกรธเขาหรือ? จะทำร้ายเขาหรือ? ก็เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ปัญญาก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่า อะไร เป็นอะไร และสิ่งที่เป็นอกุศล ปัญญาเห็นแล้ว มีหรือที่จะไม่ละ
~ คำสั้นๆ แต่ลึกซึ้งที่สุด ธรรม ทั้งหลาย เป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นต้องเริ่มรู้จักธรรม ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน มิฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง เพียงเท่านี้ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ต้องเข้าใจไตร่ตรองว่าสิ่งที่มีจริง มีจริงๆ หรือเปล่า?
~ เห็นพระคุณยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? เคยเห็นผิดมานานเท่าไหร่ทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ แม้ก่อนจะได้ฟังพระธรรม ก็เห็นผิด แต่สามารถเริ่มเห็นถูกได้ จึงเคารพบูชาสูงสุดในผู้ที่ทำให้สามารถรู้ความจริงซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์ ถ้าฟังต่อไปค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งถึงวาระที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ เมื่อนั้นจะไม่มีความสงสัยในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เข้าใจธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ แจ้งให้เรา (จิตและเจตสิก) ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนเข้าใจ และเข้าใจเพิ่มขึ้น จนประจักษ์แจ้ง นำสู่ละความเป็นเรา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ