สติปัฏฐาน และสมถะ
เมื่อเช้าฟังวิทยุรายการธรรมะของอาจารย์สุจินต์ กล่าวถึงว่า สติปัฏฐาน เป็นการรู้ชัดถึงลักษณะอาการเป็นธาตุ ส่วนสมถะนั้นรู้ด้วยสมาธิ (ไม่แน่ใจ) พิจารณาอาการ ๓๒ กรุณาช่วยขยายความด้วยค่ะ
อาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ ถ้าพิจารณาโดยความเป็นปฏิกูลจิตสงบจากนิวรณ์ เป็นสมถภาวนา ถ้ารู้ชัด รู้ลักษณะธาตุ ที่เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯ เป็นสติปัฏฐาน (วิปัสสนา)
สติปัฏฐานที่รู้ชัด รู้ลักษณะธาตุคือรู้ในความไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
สติปัฏฐานระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เจริญสติปัฏฐานเพื่อละความไม่รู้ แต่ไม่ใช่เพื่ออยากจะได้อะไร ขณะที่กำลังเห็นคือ อาการรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งคนตายไม่เห็น อบรม คือการระลึกศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ สภาพรู้แข็ง รู้ลักษณะที่แข็ง รู้แข็งต่อเมื่อกระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นต้องแยกโลก ๖ โลก ออกจากกัน ถึงจะปรากฏว่าไม่ใช่ตัวตนได้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สติปัฏฐานหรือวิปัสสนากับสมถภาวนา เป็นปัญญาคนระดับกัน และรู้ความจริงคนละอย่างกัน ดังนี้
โดยนัย อาการ ๓๒ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน ... เป็นต้น
ถ้าเป็นสมถภาวนา โดยอาการ ๓๒ ก็เห็นโดยความเป็นปฏิกูล ไม่สะอาด ของผม ขน เล็บ..เป็นต้นย่อมสงบจากกิเลส เช่น ความยินดี พอใจ ในผม ขน..เป็นต้น เพราะเห็นเป็นของปฏิกูล แต่ถามว่า ก็ยังไม่ได้ละความยึดถือว่าไม่มีสัตว์ บุคคลหรือสิ่งต่าง มีแต่ธรรมคือ จิต เจตสิก รูป เพราะยังยึดว่า เป็นผมของเราที่ปฏิกูล เป็นฟันของเราที่ปฏิกูล จึงไม่รู้ความจริงของธรรม ดังนั้น ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงแต่ระงับชั่วคราว ด้วยสมถภาวนา เห็นโดยความเป็นปฏิกูลถ้าเป็น วิปัสสนาภาวนา (สติปัฏฐาน) เห็นโดยความเป็นธาตุ หรือเห็นว่าเป็นธรรม (ธาตุกับธรรมความหมาย เหมือนกัน) โดย อาการ ๓๒ นัย วิปัสสนา (สติปัฏฐาน) เห็นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นธรรมอย่างไร คือเป็น จิต เจตสิก รูป แต่ที่แสดงว่าเป็น ผมขน เล็บ เพราะเรายึดถือว่าผม ขน เล็บ ... เป็นต้น ว่าเป็นผมของเรา และมีผม ขน เล็บ จริงๆ จริงๆ แล้ว ผม ขน ไม่มีแต่มีลักษณะของสภาพธัมมะ จึงบัญญัติ ตั้งชื่อว่า ผม ขน เล็บลองจับที่ผม ขน มีลักษณะอะไรไหม อ่อน เย็น เป็นต้น ลักษณะที่มีจริงนั้นแหละเรียกว่า ธาตุ หรือ ธรรม เมื่อสติปัฏฐานเกิด เมื่อจับ ผม ขน เล็บ ขณะที่สติเกิดก็ระลึกลักษณะที่ปรากฏ เมื่อจับที่ผม ขน..เป็นต้น ว่ามีลักษณะเพียง เย็น อ่อน ร้อน เป็นต้น ซึ่งก็เป็นเพียงธรรมหรือธาตุเท่านั้น ขณะนั้นก็ละความยึดถือว่า มีผม ขน เล็บหรือเป็นเรา เพราะมีเพียงลักษณะของสภาพธัมมะที่ปรากฏขณะนั้นเท่านั้น เช่น เย็น..เป็นต้นครับ
สรุป ก็คือ สติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของธรรมในขณะที่ปรากฏว่าเป็นธรรม อันเนื่องมาจาก ผม ขน..เป็นต้น สมถภาวนา รู้โดยความเป็นปฏิกูลไม่สะอาดของ ผม ขน..เป็นต้น แต่ก็ยังไม่ได้ละความยึดถือว่าเป็นเรา ยังมีผม ขน ของเราอยู่ ดังนั้น หนทางที่จะดับกิเลสได้คือ สติปัฏฐานครับ
ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์