ความชำนาญเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะต้องเจริญเนืองๆ บ่อยๆ
ความชำนาญเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะต้องเจริญเนืองๆ บ่อยๆ
เพราะฉะนั้น ความชำนาญเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะต้องเจริญเนืองๆ บ่อยๆ จนกระทั่งชินกับลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าขาดความชำนาญในการเจริญสติ ทางฝ่ายอกุศลก็ยังคงมีความชำนาญอยู่ ถ้าท่านฟังคาถาของพระเถระ ท่านจะรู้ได้จริงๆ ว่า ท่านเป็นผู้ที่เจริญสติมาแล้ว มีความชำนาญเพียงไร อย่างใน ขุททกนิกาย รัฐปาลเถรคาถา ที่มีข้อความว่า
เชิญดูอัตภาพอันธรรมดาตบแต่งให้วิจิตร มีกายเป็นแผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย
ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เคยเจริญสติจะรู้ได้ไหมว่า ใจกระสับกระส่ายด้วยโลภะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง มากมายสักเพียงใดในวันหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เจริญสติเป็นปกติจึงสามารถที่จะประจักษ์ด้วยตัวของผู้เจริญสติเองว่า มีโลภะมาก มีโทสะมาก มีโมหะมาก และจิตใจก็กระสับกระส่ายอยู่เสมอด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเจริญสติเป็นปกติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ท่านก็จะยิ่งมีความรู้ชัดในลักษณะของนามและรูปทั่วขึ้นมากขึ้น มีการละคลายมากขึ้น เพราะรู้ว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นเอง
เรื่องของจิตตานุปัสสนา คือ สราคจิต ได้แก่ จิตที่เป็นโลภมูลจิต มีความยินดี มีความพอใจ มีความต้องการในอารมณ์ที่ปรากฏ ข้อสำคัญคือ ถึงแม้ว่าจะเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็จะต้องฟังด้วยความแยบคาย ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า เมื่อฟังเรื่องของการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว ก็เกิดความต้องการขึ้นมาอีกแล้ว ต้องการที่จะเจาะจงรู้ลักษณะของโลภมูลจิต บางท่านอาจจะเป็นอย่างนั้น ถ้าท่านไม่มีความแยบคายในการฟัง เพราะความต้องการอย่างละเอียดคอยติดตาม คอยกระซิบ คอยแทรกอยู่เรื่อยๆ ตราบใดที่ท่านยังไม่รู้เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง อย่างโลภมูลจิต ก็เป็นจิตที่มีเป็นปกติประจำวัน และก็มีมากด้วย
ถ้าจะระลึกในขณะที่กำลังเดินไปเพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นจิตประเภทไหน ขณะนั้นกำลังเดินไปเพราะความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามปกติ เกิดระลึกถึงสภาพของจิตได้ จิตในขณะนั้นจะเป็นจิตประเภทไหน เป็นความต้องการไหม ก็เป็นโลภมูลจิต เป็นสราคจิต
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...