ละคลายกิเลสได้ ก็เป็นพระอริยบุคคลได้แม้ในขณะนั้น
ข้อความสุดท้ายมีว่า
พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ธัมมจักษุ คือ โสตาปัตติมรรคจิต ปราศจากธุลีปราศจากมลทินเกิดขึ้นแล้วแก่เทวดาและมนุษย์หลายพัน ผู้มีฉันทะร่วมกัน มีประโยชน์ร่วมกัน มีความประสงค์ร่วมกัน มีความอบรมวาสนาร่วมกันกับ อชิตพราหมณ์นั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา และจิตของอชิตพราหมณ์นั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น คือ บรรลุความเป็นพระอรหันต์
เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคลในขณะนั้น และเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้น ปกติธรรมดาอย่างนี้ เหมือนกับที่กำลังนั่งฟังอย่างนี้ และข้อความอย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ พยัญชนะเดียวกัน เรื่องเดียวกัน แต่มีเทวดาและมนุษย์หลายพันที่บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน ส่วนอชิตพราหมณ์นั้นก็สิ้นอาสวะกิเลส เป็นพระอรหันต์
ทำไมเป็นได้ ก็เพราะสภาพธรรมเป็นปกติทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สำคัญที่สติระลึกรู้ได้ไหม ปัญญารู้ชัดไหม ละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตน หมดความสงสัยได้จริงๆ ไหม
ถ้าผู้ใดระลึกรู้ แล้วสามารถที่จะละคลายกิเลสได้ ก็เป็นพระอริยบุคคลได้แม้ในขณะนั้น และบุคคลในครั้งพุทธกาล ตาก็มี หูก็มี จมูกก็มี ลิ้นก็มี กายก็มี ใจก็มี โลภะก็มี โทสะก็มี โมหะก็มี แต่เป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้องในธรรมวินัย และเป็นผู้ที่ได้เจริญกุศลอดีตบารมี มีการที่จะละคลายไม่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงได้ฟัง สติก็ระลึกรู้สภาพธรรมนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้
เพราะฉะนั้น สมัยนี้ไม่ควรจะท้อถอย ตามีเหมือนกัน หูมีเหมือนกัน จมูกมีเหมือนกัน ลิ้นมีเหมือนกัน กายมีเหมือนกัน ใจมีเหมือนกัน โลภะมีเหมือนกัน โทสะมีเหมือนกัน โมหะมีเหมือนกัน บรรลุได้ไหมถ้าเข้าใจถูก และสติก็ระลึกรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง บางทีท่านอาจจะคิดว่า ท่านจะต่างอะไรไหมกับบุคคลในครั้งพุทธกาล และอาจจะคิดเปรียบเทียบว่า ท่านไม่เหมือนกับบุคคลโน้น ไม่เหมือนกับบุคคลนี้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...