สงสัยในอาการที่ปรากฎหลังจากเริ่มฟังธรรมจากท่านอ.สุจินต์
กราบอนุโมทนาค่ะ ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์แล้วนำไปปฏิบัติ แต่เกิดความไม่แน่ใจว่าการปฏิบัติและอาการที่ปรากฎ อยู่ในทางที่ตรง ดีแล้วหรือไม่ค่ะ ตื่นเช้าขณะกวาดใบไม้และฟังธรรมจากท่านอ. จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตรวมลงมองดูอาการของร่างกายว่ามีความเคลื่อนไหว แล้วก็ไม่มีคิดปรากฎขณะนั้นค่ะ มีแต่รูปนามปรากฎ จิตดูอยู่รู้อยู่แต่เหมือนไม่ใช่เรา ไม่มีเรา มีแต่คลื่นความร้อนในกายวูบไหว มีลมพองเข้า ไหลออก มีน้ำเคลื่อนไป มีความตึง แข็ง อ่อน เดี๋ยวเกิดมีมา เดี๋ยวหายไป รู้สึกสงบจนต้องหยุดขยับแขนที่กำลังกวาดใบไม้ ปล่อยให้จิตเพลินที่จะเป็นผู้ดูอยู่อย่างนั้นค่ะ แต่ไม่ใช่อาการนิ่ง ดำดับวูบนะคะ และก็ไม่ใช่นิ่งสว่างแล้วเข้าสู่ภวังค์ (ในความหมายอย่างทางโลก) แบบตัวตนหายไปด้วยค่ะ รู้เห็นการเคลื่อนไหว เกิดดับทุกอย่าง สักพัก (นานแค่ไหนก็ไม่แน่ใจ) จิตก็ถอนจากอาการเช่นนี้ค่ะ อย่างนี้เรียกว่าเป็นนิมิตรโมหะปรุง หรือเป็นสัจจะ เป็นปัญญาหรือเป็นอุทธัจจะ หรืออย่างไรแน่ และหากเราปล่อยให้อาการเช่นนี้เกิดจะเป็นผลดีไหมคะ แต่เบื้องต้น ตนเองก็รู้สึกสงบ ผ่อนคลายกับอาการเช่นนี้ค่ะ ขอคำชี้แนะจากผู้รู้ด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลตรงตามความเป็นจริง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกื้อกูลให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตั้งแต่คำแรกคือคำว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะเป็นขณะไหน ก็ไม่พ้นจากธรรมเลย มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตลอด เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่เรา
ดังนั้น จากประเด็นคำถาม ก็พิจารณาได้ว่า ถ้าเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความสงสัย นั่นก็ไม่ใช่ความเข้าใจถูก อีกประการหนึ่ง ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเป็นเราที่จะนำเอามาปฏิบัติ เพราะปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นกิจหน้าที่ของสภาพธรรมฝ่ายดีมีสติและปัญญาเป็นต้น ที่เกิดขึ้นถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เราไปทำ ซึ่งจะต้องมีรากฐานที่มั่นคงในความเข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้คุณ runchoo ได้ฟังพระธรรมต่อไป ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกไปทีละเล็กทีละน้อย การอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องเบาสบายจริงๆ ไม่หนักด้วยความหวังความต้องการแต่อย่างใด ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้ามีสติแล้วเป็นปกติ ถ้าขาดสติแล้วผิดปกติ
ปัญญารู้สภาพธรรมขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง
ถ. อยากทราบว่า ขั้นตอนของวาระจิตเกิดจากสมาธิ ๑. ขั้นสูงสุดแล้วเกิดนิมิต ๒. เมื่อถึงจุดสูงสุดของสมาธิ แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเกิดนิมิตได้ ๓. วาระจิตเกิด ขึ้นคล้ายกับความฝัน เวลาเคลิ้มก่อนจะหลับพุ่งไป มีพลังมากแต่มีสติ เป็นจิตประเภทไหน ทำอย่างไรจะผ่านวาระนี้ไปได้
สุ. ไม่เป็นปกติแล้วทั้งหมด ไม่ถูกต้อง ปัญญารู้สภาพธรรมขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง จิตพุ่งไปไหนไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า จิตไม่ใช่รูปและจิตเป็นแต่เพียงสภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วดับ จิตคิดนึกเกิดขึ้น คิดนึกในขณะนี้แล้วดับ ฉะนั้นไม่มีการที่จิตพุ่งไปไหนได้เลย แล้วสำหรับที่ว่า วาระจิตเกิดขึ้นคล้ายกับความฝัน เวลาเคลิ้มก่อนจะหลับ พุ่งไปมีพลังมากแต่มีสติ ถ้ามีสติแล้วเป็นปกติ ถ้าขาดสติแล้วผิดปกติ สำหรับที่ว่า วาระจิตเกิดจากสมาธิขั้นสูงสุดแล้วเกิดนิมิต ไม่ทราบว่าต้องการนิมิตเพื่ออะไร ขณะนี้กำลังเห็นเป็นของจริง ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงในขณะนี้ที่เห็นได้ แล้วต้องการนิมิตทำไม กำลังได้ยินเป็นของจริงสามารถประจักษ์การเกิดดับของจิตได้ยินได้ แล้วจะต้องการนิมิตทำไม
ที่มา ...