จักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น -129
ถ . ที่ท่านห้ามพระราหุลไม่ให้หัวเราะ จะเป็นมุสานั้น
สุ . ไม่ใช่ห้ามหัวเราะ การขัดเกลาต้องขัดเกลาอย่างละเอียดทีเดียว พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระราหุลว่า ท่านพระราหุลจักไม่กล่าวมุสา ไม่พูดปด แม้เพราะหัวเราะกันเล่น ชีวิตจริงๆ ของเราเคยหลอกใครเล่นบ้างไหม เคยล้อใครบ้างไหม ทั้งๆ ที่ไม่จริง แต่เพื่อหัวเราะกันเล่นสนุกๆ ตามวิสัยของผู้ที่ยังมีโลภะ ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่หมดกิเลส เพราะฉะนั้น ผู้ที่เพียรละกิเลส ควรจะพิจารณาการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่า เหมือนกับกระจก หรือแว่นซึ่งมีไว้สำหรับส่อง
เพราะฉะนั้น การที่จะพิจารณาธรรม ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาการกระทำว่า การกระทำนั้นจะเบียดเบียนให้ผู้อื่นเดือดร้อนไหม จะก่อทุกข์ให้กับผู้อื่น หรือว่าจะก่อทุกข์ให้แก่ตนเองหรือไม่ บางคนก็ตั้งใจจะล้อคนอื่นสนุกๆ แต่คนที่ถูกล้อเป็นอย่างไร สนุกไหม หรือว่าเป็นทุกข์เดือดร้อน ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อนได้ โดยที่ตัวเองสนุกสนาน
ไม่ได้ทรงแสดงไว้ถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงโอวาทท่านพระราหุลเช่นนี้ แต่ข้อความในพระสูตรมีว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน เขตพระนครราชคฤห์ ส่วนท่านพระราหุลอยู่ ณ ปราสาทชื่อว่า อัมพลัฏฐิกา พระผู้มีพระภาคก็ได้เสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น แล้วได้เสด็จไปหาท่านพระราหุลที่ปราสาท ที่ท่านพระราหุลอยู่ แล้วก็ทรงโอวาทท่านพระราหุลว่า
จักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น
เพราะฉะนั้น คงจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้พระผู้มีพระภาคเสด็จไปหาท่านพระราหุล แล้วก็ทรงโอวาท นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตจริงๆ ที่การเจริญสติปัฏฐานจะต้องระลึกรู้ แม้ในขณะที่หัวเราะ หรือว่าในขณะที่จิตเป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นโมหะตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปกั้นไว้ไม่ให้รู้ แล้วก็กลายเป็นอีกบุคคลหนึ่งโดยที่ไม่รู้จักตนเองจริงๆ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...