ผู้ที่แก่เฒ่า ขอพระผู้มีพระภาคสั่งสอน ด้วยธรรมที่เป็นประโยชน์

 
สารธรรม
วันที่  29 ก.ย. 2565
หมายเลข  44355
อ่าน  174

สำหรับสักกายทิฏฐิ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค นกุลปิตุสูตร มีข้อความว่า

พระผู้มีพระภาคประทับที่เภสกฬาวัน ใกล้เมืองสุงสุมารคิระในภัคคชนบท คฤหบดีชื่อนกุลบิดาได้เข้าไปเฝ้า แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านเป็นผู้ที่แก่เฒ่า ขอให้พระผู้มีพระภาคโปรดสั่งสอน พร่ำสอนด้วยธรรมที่เป็นประโยชน์

ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า กายนี้กระสับกระส่ายเป็นดังว่าฟองไข่ อันผิว หนังหุ้มไว้

ที่นั่ง นอน ยืน เดินกันอยู่นี่ ดูเหมือนกับมีความมั่นคงมาก แต่ความจริงแล้วทรงอุปมาว่า เป็นดังฟองไข่อันผิวหนังหุ้มไว้ คือ พร้อมที่จะแตกกระจัดกระจายออกเมื่อไรก็ได้ พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

เพราะเหตุนั้นแหละ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย

ซึ่งเมื่อนกุลบิดาคฤหบดีได้ฟังแล้วก็มีจิตชื่นชม แล้วได้ไปหาท่านพระสารีบุตร ซึ่งเมื่อนกุลบิดาได้ไปหาท่านพระสารีบุตร แล้วได้เล่าให้ฟังถึงข้อความที่ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค และพระดำรัสของพระองค์ที่ประทานโอวาทแล้ว

ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถามคฤหบดีต่อไปว่า

ด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่า เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย แล้วด้วยเหตุเท่าไร บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่

มีบุคคลต่างกันเป็น ๒ จำพวก คือ เป็นผู้ที่มีกายกระสับกระส่ายทั้ง ๒ บุคคลเมื่อมีกายแล้วที่จะไม่กระสับกระส่ายไปด้วยความทุกข์ของธาตุที่มีอยู่ที่กาย ดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีกายกระสับกระส่าย แต่ว่าผู้หนึ่งทั้งกายก็กระสับกระส่ายและจิตก็กระสับกระส่าย ส่วนอีกบุคคลหนึ่งนั้นถึงแม้ว่ากายจะกระสับกระส่าย แต่จิตก็หาได้กระสับกระส่ายไม่ เพราะฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรก็ถามคฤหบดีว่า

ด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย และเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่าย แล้วด้วยเหตุเท่าไร บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายไม่

ซึ่งนกุลบิดาคฤหบดีก็ไม่ได้ตอบ เพียงแต่ขอให้ท่านพระสารีบุตรแสดง ธรรมให้ท่านฟัง เพื่อความชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ได้แสดงธรรมกับ นกุลบิดาคฤหบดี มีข้อความว่า

ที่กายกระสับกระส่าย และจิตกระสับกระส่ายด้วยนั้น ก็เพราะสักกายทิฏฐิยังมีอยู่ แต่ที่ถึงแม้ว่ากายกระสับกระส่ายแต่จิตก็ไม่กระสับกระส่าย ก็เพราะหมด สักกายทิฏฐิแล้ว

ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะนกุลบิดาคฤหบดีว่า

ดูกร คฤหบดี ก็อย่างไรเล่า บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้มีกายกระสับกระส่ายด้วย จึงชื่อว่าเป็นผู้มีจิตกระสับกระส่ายด้วย

ดูกร คฤหบดี คือ ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ มิได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ มิได้รับแนะนำในอริยธรรม มิได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ มิได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตัวตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูปในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่นว่า เราเป็นรูป รูปของเรา เป็นต้น


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 132


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ