ยังมีเชื้อ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ย่อมครอบงำจิตบุคคลนั้นได้
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ขีรรุกขสูตร มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ราคะ โทสะ โมหะของภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง มีอยู่ในรูปทั้งหลายอันพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไม่ละราคะ โทสะ โมหะ ถ้าแม้รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ซึ่งเป็นของเล็กน้อย ผ่านคลองจักษุของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นไป ก็ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นได้แท้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงรูปอันใหญ่ยิ่ง จักไม่ครอบงำจิตของภิกษุหรือภิกษุณีนั้นเล่า ข้อนั้นเพราะ เหตุไร เพราะราคะ โทสะ โมหะนั้นยังมีอยู่ ภิกษุหรือภิกษุณีนั้นยังละราคะ โทสะ โมหะนั้นไม่ได้
ถ้าตราบใดยังมีเชื้อ คือ ราคะ โทสะ โมหะอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรูปเล็กน้อยที่ไม่ประณีตจะผ่านคลองของจักษุ คือ จะไปเห็นรูปที่ไม่น่ายินดีสักเท่าไร ก็เป็นอิฏฐารมณ์ปานกลาง แต่ว่าความยินดีพอใจในรูปที่เห็นก็ยังมี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงรูปที่เป็นอติอิฏฐารมณ์ หรือว่าเป็นรูปที่น่ายินดีพอใจยิ่งนักที่ราคะหรือโลภะจะไม่เกิดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ข้อความต่อไปเป็นเรื่องของเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ โดยนัยเดียวกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงอุปมากับต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นกร่าง หรือต้นมะเดื่อ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มียาง ไม่ว่าจะเป็นขนาดเขื่อง ขนาดรุ่น ขนาดเล็ก ว่า
บุรุษเอาขวานอันคมสับต้นไม้นั้น ณ ที่แห่งหนึ่ง ยางพึงไหลออก เพราะยางมีอยู่
ถ้าราคะ โทสะ โมหะไม่มี ก็นัยตรงกันข้าม ซึ่งได้ทรงอุปมาว่า
เหมือนกับต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นกร่าง หรือต้นมะเดื่อ ซึ่งเป็นไม้มียาง เป็นต้นไม้แห้ง เป็นไม้ผุ ภายนอกฤดูฝน บุรุษเอาขวานอันคมสับต้นไม้นั้น ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ยางไม่พึงไหลออก เพราะไม่มี แม้ฉันใด ผู้ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ในรูป เพราะละแล้ว แม้จะเห็นรูป หรือว่าได้ยินเสียง เป็นต้น ที่ประณีต ก็ไม่ครอบงำ จะป่วยกล่าวไปใยถึงรูปอันเล็กน้อย จะครอบงำจิตของภิกษุและภิกษุณีนั้นเล่า
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่ต้องห่วงกังวล ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ประณีต หรือไม่ประณีต ก็จะไม่ครอบงำจิตใจของผู้นั้นได้ แต่ตรงกันข้าม ถ้าโลภะ โทสะ โมหะยังมีอยู่ตราบใด ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เล็กน้อย หรือที่ยิ่งใหญ่ ก็ย่อมสามารถครอบงำจิตใจของบุคคลนั้นได้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...