Thai-Hindi 01 October 2022
Thai-Hindi 01 October 2022
- เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้จักธรรมรึยัง (รู้นิดๆ หน่อยๆ ) ไม่ใช่ ต้องมั่นใจว่า ธรรมคืออะไร อยู่ที่ไหน
- ธรรมคืออะไรอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพูดเรื่องธรรมจริงๆ ต้องรู้ว่า เรากำลังศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินจนกว่าจะมั่นคงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมไม่ใช่เรา
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่รู้จักชื่อ ไม่ใช่เรียนธรรม เรียนชื่อ แต่รู้จริงๆ ว่ามีธรรมมั้ย ธรรมอยู่ไหน จะได้รู้จักธรรมนั้น
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำว่า ธรรมแน่นอนมั่นคงจริงๆ ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน
- เพราะฉะนั้นธรรมเดี๋ยวนี้มีไหม (มี) เพราะฉะนั้นทุกคำที่จะฟังต่อไปเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังมี
- ทุกคำที่จะได้ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัย เพราะฉะนั้นเรากำลังจะพูดถึงปัจจัย ๑ ที่ทำให้มีสิ่งที่เป็นธรรมเกิดขึ้น
- เดี๋ยวนี้ที่เป็นธรรมคืออะไร ทีละ ๑ (เสียง) แล้วมีรูปอื่นมั้ยนอกจากเสียงหรือมีแต่เสียงเท่านั้น (มีได้ยิน)
- ขณะนี้มีเสียง มีได้ยิน เราจะพูดทีละอย่าง จะพูดถึงอะไร จะได้เข้าใจปัจจัยที่เป็นอาหารของสิ่งนั้น
- พูดถึงหนึ่ง พูดถึงอะไรไม่งั้นเราพูดถึงอะไรไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ว่าเราพูดถึงอะไร เราจะรู้ได้ยังไงว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นพูดทีละ ๑ เขาต้องการรู้ปัจจัยของอะไร (ได้ยิน)
- ได้ยินเป็นสิ่งที่มีจริง คืออะไร (เป็นจิต)
- ได้ยินเป็นจิต ไม่มีปัจจัยเกิดได้ไหม (ไม่ได้)
- แล้วเขาอ่าน อาหารมีกี่อย่าง (๔) เพราะฉะนั้นได้ยินต้องเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะอาหารใช่ไหม (ใช่)
- ได้ยิน ไม่มีอาหารที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ได้ยินจะเกิดขึ้นได้ไหม (ไม่)
- เพราะฉะนั้นอาหารที่เป็นปัจจัยมี ๔ อะไรบ้าง (จำได้ ๓ อย่าง กวฬิงกราหาร ผัสสาหาร วิญญาณาหาร)
- มโนสัญเจตนาหาร หมายถึงเจตนาเจตสิกที่เป็นกรรม
เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นสภาพธรรมประเภทไหน (นาม)
- ถูกต้อง นามมีกี่ประเภท (๒) เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นนามอะไร (จิต) ถ้าไม่มีผัสสเจตสิก ได้ยินเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้นผัสสะเป็นผัสสาหารที่จะทำให้จิตแต่ละประเภทเกิดขึ้นรู้เฉพาะสิ่งที่ผัสสะกระทบ
- ถ้าไม่มีสภาพธรรมกระทบสิ่งที่มีที่ปรากฏได้ จะมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส มีจิตต่างๆ ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า โลกเป็นไปเพราะผัสสะ
- ผัสสเจตสิกกระทบทุกอย่างที่จิตเกิดขึ้นทันทีที่ผัสสะกระทบ ถ้าไม่มีผัสสะจะมีจิตได้ไหม
- เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นความสำคัญ ชีวิตเกิดขึ้นต้องเป็นไปหลายๆ ปัจจัย เพราะฉะนั้นการกระทบเป็นเจตสิกที่ทำให้จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ ไม่หยุดเลยทุกขณะ เป็นอาหารปัจจัย ๑
- ทำไมคิดเรื่องนี้ (ที่พูดถึงเรื่องอาหาร เรื่องผัสสะตอนนี้เพราะมันเกิดขึ้นตลอดเวลา ทุกเวลามีผัสสะอยู่)
- เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า เพราะผัสสะกระทบเรื่องที่จิตคิด จิตก็ต้องคิดเรื่องนั้นไม่คิดเรื่องอื่น
- เราไปพระวิหารเชตวันเพื่อรำลึกถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วแม้เรื่องอาหารปัจจัย
- ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ละเอียดอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์เราไม่มีโอกาสจะ “ตื่นขึ้น” รู้จักสิ่งที่กำลังปรากฏเลย
- เดี๋ยวนี้มีผัสสเจตสิกไหม
- จิตเกิดขึ้นรู้อะไรเพราะผัสสเจตสิกกระทบสิ่งนั้นใช่ไหม เพราะฉะนั้นผัสสเจตสิกเกิดขึ้นให้จิตรู้สิ่งนั้นที่ผัสสะกระทบ เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมายนานมาแล้วและต่อๆ ไป นี่คือ อาหารปัจจัยที่จะทำให้จิตไม่หยุดยั้งที่จะเกิดขึ้นรู้สิ่งต่างๆ ที่ผัสสะกระทบ
- ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ไม่มีเราเลย ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่เกิดแล้วดับตลอดเวลาต่างๆ กัน ไม่หยุดเลย
- เริ่มเข้าใจสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงละเอียดอย่างยิ่งก็ยังคงเข้าใจว่า เป็นเราทั้งหมด ไม่สามารถที่จะละการไม่รู้และยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเราเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีแต่ละขณะ
- เพราะฉะนั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเข้าใจในความละเอียด เคารพสูงสุดในพระองค์ที่สามารถทำให้ค่อยๆ รู้ความจริงทีละน้อย
- ยังมีข้อสงสัยในเรื่องผัสสาหารไหม ถ้าไม่เข้าใจทีละ ๑ จะเข้าใจไหม ปนๆ กันไปหมดเลย
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงฟังรู้จักชื่อแล้วจำแต่ไม่เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เองไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นทุกขณะเป็นธาตุรู้ต้องมีผัสสะเป็นอาหารให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น มิฉะนั้นสิ่งนั้นจำไม่ได้ คิดไม่ได้ อะไรไม่ได้ทั้งหมด
- เริ่มละความไม่รู้ความจริงของแม้ ๑ ขณะเดี๋ยวนี้ทีละน้อยใช่ไหม
- ยังเป็นเราอีกมากเพราะความไม่รู้ใช่ไหม
- เริ่มเห็นความลึกซึ้งความละเอียดของการที่จะไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ที่กำลังปรากฏว่า แท้จริงสิ่งนั้นเกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ด้วยปัจจัยต่างๆ แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะละการยึดถือในสภาพธรรมนั้นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้
- อีกนานไหมกว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ว่า เป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นานเท่าไหร่ (ตามความเข้าใจรู้ว่านานมาก) ถามว่านานเท่าไหร่ (ไม่รู้) นานจนกว่าการเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
- ไม่ใช่นานเพราะจำได้ว่า ฟังมากี่ครั้ง ฟังมากี่เดือน กี่ปี แต่นานที่จะรู้ว่า เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏบ้างไหม เริ่มรึยัง
นานจนกว่าคำที่ได้ยินจะค่อยๆ ปรุงแต่งเป็นความเข้าใจในขณะที่สภาพธรรมใดกำลังปรากฏ
- ถ้าไม่รู้ความจริงของธรรมเพียง ๑ ที่ละเอียดอย่างยิ่ง สามารถที่จะเข้าใจชัดเจนในสภาพธรรม ๑ ได้ไหม
- เห็นประโยชน์ไหม จากการที่ไม่เคยรู้อย่างนี้เลย เริ่มที่จะได้ฟังคำที่ทำให้เข้าใจความจริงของเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อย
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมไม่ใช่หวังให้คน-กราบไหว้ แต่ให้เขารู้จักความจริง ให้เข้าใจความจริง เพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใจผิด
- ขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้มีความเข้าใจมั่นคงไหมว่า นี่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้เข้าใจถูกต้องว่าเพียงได้ฟังแต่ไม่สามารถที่จะรู้แต่ละ ๑ ได้
- ถ้ามีความเข้าใจธรรมทีละ ๑ มั่นคง สามารถที่จะถึงลักษณะที่กำลังเป็น ๑ ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นได้
- ความไม่รู้มีมากแสนนานมาแล้วเพิ่มขึ้นๆ เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี เพราะกำลังมีแต่ถูกปิดบังด้วยความไม่รู้มานานมาก ต้องอาศัยคำพูดที่ทำให้เริ่มเข้าใจความจริงของแต่ละ ๑
- ได้ยินไม่มีเห็นแน่นอนใช่ไหม
- เดี๋ยวนี้ไม่ได้รู้เพียง ๑ แต่รวมกันเป็นเห็นด้วยได้ยินด้วยใช่ไหม เพราะฉะนั้นความจริงสภาพธรรมเกิดขึ้นทีละ ๑ ปรากฏทีละ ๑ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นอย่างตามที่เป็นจริง เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จริงต้องรู้ทีละ ๑ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังเป็นความรู้เบื้องต้นให้เข้าใจความจริงซึ่งยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
- เพราะฉะนั้นขณะนี้สิ่งที่ปรากฏรวมกันหมดเลย ลืมตาขึ้นมาทุกอย่างก็ปรากฏรวมกันไม่ใช่ทีละ ๑ ที่ปรากฏ
- เพราะฉะนั้นความจริงคืออะไร (ทุกอย่างเกิดพร้อมกันไม่ได้) เพราะฉะนั้นยังไม่รู้จักสภาพธรรมเลยตามความเป็นจริงใช่ไหม เพียงได้ยินเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ๑ ที่ปรากฏไม่ใช่เรา ต้องเป็นผู้ตรงต่อตามความเป็นจริงที่จะต้องฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้นก่อนเป็นเบื้องต้น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้รึเปล่า ไม่ว่าจะ ณ พระวิหารเชตวัน ที่ไหน ที่พาราณสีหรือที่อื่นๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปเพื่ออนุเคาระห์ให้รู้ความจริง
- ถ้าไม่เข้าใจความจริง ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ฟังคำของพระองค์ รู้ว่าความเข้าใจนี้เกิดจากกพระมหากรุณาที่ได้ทรงแสดงเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว
- เดี๋ยวนี้ธรรม ๑ กำลังปรากฏ ลึกซึ้งไหม เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่า ความเข้าใจเริ่มเห็นความลึกซึ้งของธรรมจึงรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
- หนทางรู้ความจริงต้องละเอียดมากเพราะธรรม ๑ ละเอียดมาก ทุกธรรมละเอียดมาก ลึกซึ้งมากละเอียดมาก
- หนทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้ง เมื่อรู้จึงเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔
- อริยสัจจธรรมมี ๔ เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ ลึกซึ้ง
- เดี๋ยวนี้มีธรรม ไม่รู้ความจริงของธรรมซึ่งละเอียดมากเพราะฉะนั้นจึงยังไม่ใช่อริยสัจจธรรม
- การรู้ความจริงของธรรมที่มีจริงๆ ๑ ทำให้เป็นอริยะเพราะสามารถรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้
- เพราฉะนั้นปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงของอริยสัจจธรรม ๔ จึงเป็นอริยสัจจธรรม
- ความจริงนี้สามารถจะรู้แจ้งได้ไหม (ได้) นี่เป็นสัจจบารมี ตรงต่อความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการรู้ความจริงถึงที่สุดเพราะอาศัยความมั่นคงในความจริงถึงที่สุดเพราะรู้ได้
- ถ้าไม่ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพในความลึกซึ้งจะสามารถรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้ไหม (ไม่ได้) นั่นคืออธิษฐานบารมี
- เมื่อรู้ความจริงที่สามารถเข้าใจได้เพราะฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น หนทางอื่นนอกจากนี้มีไหมที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
- เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้จะรู้ได้เมื่อมีความเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจบ่อยๆ เนืองๆ ถ้ามิฉะนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเขามีความเพียรที่จะฟัง ที่จะไตร่ตรองที่จะเริ่มเข้าใจอย่างมั่นคงรึยัง
- นั่นคือวิริยะบารมี ไม่สงสัยคำว่า บารมี แล้วใช่ไหม ไม่ใช่เพียงพูดว่า บารมี
- กำลังหิวมากไม่เข้าใจธรรมดีไหม กำลังป่วยไข้ไม่เข้าใจธรมดีไหม กำลังสนุกมากไม่เข้าใจธรรมดีไหม กำลังเป็นทุกข์มากไม่เข้าใจธรรมดีกว่าไหม
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจ ไม่ว่ากำลังโกรธเป็นธรรม ถ้าไม่รู้ขณะนั้นจะละความเป็นเราได้อย่างไร กำลังหิวมากถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมขณะนั้นไม่ใช่เรา จะละความเป็นเราได้อย่างไร กำลังสนุกมากไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา จะรู้ว่าเป็นธรรมหรือละความเป็นเราได้อย่างไร นี่คือ ขันติบารมี ทุกเหตุการณ์เป็นธรรมทั้งหมดที่จะต้องรู้
- เพราะฉะนั้นเข้าใจทุกคำเพิ่มขึ้น เป็นธรรมทั้งหมด บารมีเป็นบารมีเมื่อมีความเข้าใจความจริงซึ่งลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ แต่ต้องอดทนและเป็นความเข้าใจเท่านั้นที่จะละความไม่รู้และความติดข้อง
- นี่คือ มโนสัญเจตนาหาร ความตั้งใจ ความจงใจที่จะมั่นคงที่จะเข้าใจธรรม
- มโนสัญเจตนาหารที่ประกอบด้วยปัญญาเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นคนหรือชีวิต (จิต) ที่ประกอบด้วยปัญญา
- ไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจที่จะเข้าใจความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เห็นประโยชน์สูงสุดที่ได้ฟังคำของพระองค์ เพราะฉะนั้นเจตนามีหลายอย่าง เจตนาทั้งหมดที่เป็นกรรมก็เป็นอาหารปัจจัย
- ทุกคนเกิดมาต่างกันตามมโนสัญเจตนาหาร เมื่อเป็นอกุศลกรรมที่เบียดเบียนคนอื่นทำให้คนอื่นเดือดร้อน เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เดือดร้อน ต้องไปแสวงหาอาหาร ต้องถูกทำร้ายต่างๆ เป็นต้น
- เจตนาที่จะฆ่า เจตนาที่จะเบียดเบียนทำร้ายคนอื่น ทั้งหมดที่เป็นเจตนาที่เป็นอกุศลก็ทำให้เกิดในนรกได้ตามเจตนาที่ต้องการอย่างนั้น ก็เกิดอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น
- เจตนาที่ได้ทำแล้วในสังสารวัฏฏ์แสนโกฏิกัปป์ ก็สามารถที่จะทำให้เกิดได้
- เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ ต่างกันมากทุกขณะนับประมาณไม่ได้เลย
- ทำให้มีการเกิดในโลกต่างๆ แม้แต่ในตระกูลต่างๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างต่างกันมากตามมโนสัญเจตนาหาร
- ถ้าไม่มีเจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศลจะมีการเกิดอีกได้ไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ยังมี ก่อนนี้ก็ยังมีและต่อไปก็ยังมี เพราะฉะนั้นก็ต้องมีมโนสัญเจตนาหารที่ทำให้เกิดวิญญาณ คือ จิตปฏิสนธิเกิดขึ้น
- เมื่อมโนสัญเจตนาหารทำให้มีการเกิดเป็นวิญญาณ เมื่อ
เกิดแล้วก็เป็นวิญญาณาหารที่จะทำให้ธรรมที่เป็นฝ่ายรู้เกิดได้ตามเหตุตามปัจจัยที่สะสมมา
- เพราะฉะนั้นก็เป็นการเกิดที่จะทำให้เป็นวิญญาณ สภาพรู้ที่จะปรุงแต่งต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่จบ
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คือชาตินี้มีอาหาร ๔ ไหม ยังมีอะไรสงสัยไหม ไม่ใช่เราเลยเป็นธรรมทั้งหมด รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นอีกรึยัง
- มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยอะไร อย่างไร มีที่พึ่งด้วยอะไรจึงเป็นที่พึ่ง อยู่ดีๆ พึ่งได้หรือ
- ได้ยินคำว่า อาหาร ๔ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วรึยัง ถ้าไม่ฟังแล้วคิดเองจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งไหม เพราะฉะนั้นถ้าคิดเองมีอะไร มีใครเป็นที่พึ่ง
- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องการฟังว่า ได้ยินเสียง รู้ว่าเสียงมีความหมายว่าอะไร เข้าใจความหมายว่าอะไร พิจารณาไตร่ตรองว่าอย่างไร นี่เป็นเรื่องของการที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง
- ยกตัวอย่างฟังคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนที่ได้ฟังที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวอย่างอะไรที่ได้ฟังแล้วรู้ว่า ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (จุดเทียนทำพิธีกรรมต่างๆ ต่อหน้าพระพุทธรูป)
- ถ้าเขาจุดเทียนด้วยความเคารพ (ถ้าเข้าใจก็ไม่ผิด) นี่แสดงให้เห็นว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
- มีใครรู้ไหมว่าจะตายเมื่อไหร่ ตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นก่อนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ มีชีวิตเพื่ออะไร
- เพราะฉะนั้นมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ เมื่อไหร่ที่จะสามารถเป็นประโยชน์ได้ทำทันที รอไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าใครจะรู้ว่าจะได้ทำหรือไม่ได้ทำ
- ตอนนี้ก็ยินดีด้วยกับกุศลของทุกคนที่มีความเข้าใจธรรมขึ้น ที่เข้าใจว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสิ่งที่มีค่าที่สุดก่อนตายก็คือ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์และมีความเข้าใจพระธรรมทำทันที พร้อมเมื่อไหร่ทำทันที ไม่ใช่เราแต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเป็นอย่างนั้น
- ตอนนี้เป็นตอนที่จะเข้าใจพระธรรมด้วยการสนทนา ยังมีอะไรสงสัยมั้ย เรื่องอาหาร ๔ หรือเรื่องอื่นๆ (อาหาร ๔ เป็นปัจจัยกันและกันไหม)
- เพราะฉะนั้นต้องฟังจริงๆ ทีละคำ ธรรมลึกซึ้งมากต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจจนมั่นคง เพราะฉะนั้นอาหารปัจจัย ปัจจัยที่เป็นอาหารที่ให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นงอกงามขึ้นมี ๔ อย่างใช่ไหม และเข้าใจทีละอาหารด้วย
- เพราะฉะนั้นตอนนี้จะให้กล่าวถึงอาหารไหนอีกครั้ง (กวฬิงการาหาร)
- ถ้าไม่กินอาหารรูปจะอยู่ได้ไหม เพราะฉะนั้นร่างกายเท่านั้นที่ต้องการอาหารในภพภูมิที่ต้องกินอาหาร ที่ต้องอาศัยอาหารจึงจะดำรงอยู่ได้
- เพราะฉะนั้นอาหารแรกคือ อาหารปัจจัยเป็นเรื่องของรูปที่จะต้องกินอาหารในภพภูมิซึ่งต้องอาศัยอาหารจึงจะเป็นอยู่ได้ จึงจะดำรงอยู่ได้ เป็นปัจจัย ๑ ที่จะทำให้ร่างกายดำรงอยู่ได้
- เพราะฉะนั้นรูปทุกชนิดต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม
- เพราะฉะนั้นรูปที่ร่างกายเกิดจากจิตก็มี เกิดจากอุตุความเย็นความร้อนก็มี เกิดจากอาหารก็มี เกิดจากกรรมก็มี
- เท่าที่พอจะทราบได้ รูปตาเกิดจากกรรม เพราะฉะนั้นที่ตัวเรามีทั้งรูปที่บางรูปเกิดจากกรรม รูปใดเกิดจากกรรม จิต อุตุ อาหารไม่สามารถทำให้รูปนั้นเกิดได้ ต้องเป็นกรรมเท่านั้นที่ทำให้รูปนั้นเกิดได้
- รูปใดที่เกิดจากจิต กรรมไม่ได้ทำให้รูปนั้นเกิด อุตุความเย็นร้อนไม่ได้ทำให้รูปนั้นเกิด อาหารไม่ได้ทำให้รูปนั้นเกิด นี่เป็นการที่จะรู้ว่า ไม่มีเราแม้แต่รูปก็เกิดเพราะสมุฏฐานต่างๆ
- รูปที่เกิดจากกรรมไม่ใช่รูปที่เกิดจากจิต อุตุ อาหาร แต่ว่าเล็กมากทุกกลาปปนกันอยู่ คละเคล้ากันอยู่ยากที่จะแยกออกได้ว่ารูปไหนในขณะนี้แม้นิดหนึ่งว่า รูปนั้นเกิดจากกกรรม จิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร
- แข็งเพียงรูปเดียวเกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความละเอียดให้เริ่มมีความเข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่รู้เพื่อละความยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งส่ิงใดไม่เกิดดับดำรงอยู่ไปเรื่อยๆ แต่ความจริงถึงที่สุดคือ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับเป็นธรรมดาเร็วสุดที่จะประมาณได้
- เดี๋ยวนี้แข็งกำลังปรากฏ ไม่ใช่ให้ไปรู้ว่าแข็งนั้นเกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร แต่ไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งนั้นเป็นเพียงแข็งเปลี่ยนลักษณะแข็งไม่ได้
- เราใช้คำว่า แข็ง แต่เวลาที่สิ่งนั้นปรากฏกับธาตุรู้เพียงนิดเดียวจะแข็งอย่างที่ปรากฏอย่างนี้ไหม
- ถ้าไม่รู้ว่า แข็งเป็นเพียงแข็ง ก็จะมีความคิดความจำว่า แข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นช้อน เป็นส้อม เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้
เพราะฉะนั้นที่เคยจำว่า แข็งเป็นฟัน แข็งเป็นเล็บ แข็งเป็นกระดูก แข็งเป็นโต๊ะ แข็งเป็นเก้าอี้ ถูกหรือผิด
- เพราะฉะนั้นที่เราเคยจำว่า เป็นบ้าน เป็นโต๊ะ เป็นคน เป็นเครื่องใช้ต่างๆ ความจริงเป็นแข็งเท่านั้น
- เพราะฉะนั้นแข็งเคยเป็นฟันของเราแต่ความจริงไม่มีเรา และแข็งก็ไม่ใช่ฟันแต่แข็งเป็นแข็ง ไม่ว่าที่ไหนทั้งหมดไม่ใช่ฟัน ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่ช้อน ไม่ใช่ส้อม เป็นแข็งเท่านั้นจริงรึเปล่า
- เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของความจำ อยู่ในโลกของความคิด รูปร่าง เรื่องราวต่างๆ แท้จริงเกิดแล้วดับแล้วไม่เหลือเลย
- ถ้าจำว่า แข็งเป็นฟัน ชอบฟันไหมๆ เพราะฉะนั้นไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นแต่เพียงแข็งที่เกิดดับสืบต่อจนปรากฏให้จำว่า มีสีต่างๆ ที่แข็งเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้แล้วละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสถึงความจริงถึงที่สุดของทุกอย่างที่เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย
- ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นที่พึ่งให้รู้ความ
จริงที่จะละความไม่รู้และความติดข้อง
- เพราะฉะนั้นคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงที่ไม่เหลือ เกิดขึ้นแล้วดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้
- ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้ความจริง เพราะฉะนั้นความจริงคืออะไร ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์จะอยู่ในโลกด้วยการไม่รู้ว่า ความจริงทุกๆ คำของพระองค์คืออะไร
- ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก สมควรที่จะรู้ไหม
- ถ้ารู้ประโยชน์ว่า การจะเข้าใจความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังมีนี้ได้ ก็ด้วยการฟังคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป จนกว่าจะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง
- เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปเพื่อรู้ความจริง เมื่อมีปัจจัยพร้อมที่จะได้เข้าใจไม่ละเลยโอกาสที่จะเข้าใจได้
- มั่นคงในการที่จะเห็นประโยชน์ของการรู้ความจริงซึ่งเป็นการรู้ความจริงถึงที่สุดทุกขณะตลอดไปไม่เปลี่ยน ซึ่งไม่เคยรู้เลยในสังสารวัฏฏ์แต่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงนั้นได้ มั่นคงรึยัง
- ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความมั่นคงก็เพิ่มขึ้น ถ้าจะมั่นคงโดยไม่เข้าใจ เป็นไปได้ไหม
- ทั้งหมดก็เป็นธรรมที่ค่อยๆ เริ่มละความไม่รู้ ละความติดข้องว่า เป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
- แต่ละ ๑ ที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เริ่มรู้จักธรรมขึ้นว่า อะไรก็ตามที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นธรรมเท่านั้น
- วันนี้ก็ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย สวัสดีค่ะทุกท่าน