ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๓๐ ก.ย. ๖๕ จะไม่มีอย่างนี้อีกเลย ในสังสารวัฏฏ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะอาจารย์ มศพ. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจาก นายแพทย์ทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านย่านตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
เป็นเวลานานแล้วที่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้มาบ้านพี่หมอกับคุณพรทิพย์ ทั้งๆ ที่เดินทางผ่านมาทางนี้หลายครั้ง ก็ได้แต่แวะเพียงร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังหน้าเขตตลิ่งชัน หลังจากที่พาคุณภรรยามาพบแพทย์ตามนัดที่โรงพยาบาลศิริราช เหตุผลอันดับแรกคงไม่พ้นเรื่อง โรคโควิด-๑๙ ที่ระบาดอย่างหนักในช่วงสองปีกว่าที่ผ่านมา ทำให้การสนทนาธรรมที่พี่หมอเคยกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์มาสนทนาอยู่เป็นประจำทุกปี ปีละสองถึงสามครั้ง ต้องมีอันห่างหายไป
สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดถึงพี่หมอ อาจไม่ใช่การสนทนาธรรม แต่เป็นปลาต้มข้าว กับหอยทอดพันล้านของพี่หมอ ที่ไม่อาจไปหารับประทานที่ไหนๆ ในโลกได้ รวมถึงขนมจีนแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ที่คุณภรรยาและคุณแอ๊ว (นภา) นั่งรับประทานอยู่ข้างๆ ต่างออกอาการ อือๆ อาๆ จนข้าพเจ้าต้องไปตักมาลองด้วย เพราะกลัวว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ลูกชิ้นปลากรายที่พี่หมอบรรจงทำด้วยตัวเอง มีความสด หอม เหนียวหนึบ อร่อยมาก และน้ำแกงเขียวหวานใสๆ ไม่ข้นกะทิแตกมันอย่างที่คนสมัยนี้ชอบทำกัน แม้น้ำกะทิใสๆ อย่างนี้ แต่อร่อยเข้มข้น อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงแกงเผ็ดของสุพรรณบุรีที่เคยติดใจชอบรับประทาน ก็มีกะทิน้ำใสๆ อย่างนี้ ทั้งไม่เห็นว่ามีเครื่องแกงและกะทิข้นๆ แต่รสชาติอร่อย สดชื่นเหลือหลาย จนจดจำมาถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็หารับประทานได้ยาก
อย่างที่เคยกล่าวไว้หลายครั้ง ในบันทึก ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้มาสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอ ว่า หากไม่ได้พูดถึงเรื่องอาหารที่พี่หมอตั้งใจตระเตรียมไว้ให้ทุกคนได้รับประทาน ก็คงไม่ใช่การสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอเป็นแน่ ซึ่งครั้งนี้ทราบว่า ปลากะพง ที่พี่หมอไปเลือกมาด้วยตัวเอง ตัวใหญ่มาก มีน้ำหนักกว่าสิบห้ากิโลกรัมเลยทีเดียว ก่อนการสนทนาหนึ่งวัน คุณทิพย์ก็กรุณาแจ้งมาในไลน์ว่า ให้มารับประทานอาหารเช้าที่บ้าน พี่หมอได้เตรียมข้าวต้มปลาหม้อใหญ่ ไว้ให้ทุกคนได้รับประทาน
ข้าพเจ้าพร้อมคุณภรรยาแวะไปรับคุณแอ๊วที่บ้านบางกรวย เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพี่หมอ ก็เห็นคุณพิม พี่จู อาจารย์ยุ้ย (ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ) และลูกชาย น้องโยเดีย ซึ่งไม่ได้พบกันนาน ทราบว่ามาอยู่กับคุณยายที่กรุงเทพ เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลได้หลายปีแล้ว ตอนนี้โตเป็นหนุ่ม มีอุปนิสัยน่ารักและตั้งใจฟังธรรมะเหมือนเดิม ถัดมาเป็นพี่เดือนฉาย คุณตู่ (ขจีรัตน์) คุณทิพย์และคุณต่าย (ปารณีย์) ที่กำลังยืนล้อมวงรับประทานข้าวต้มปลา และหอยทอดร้อนๆ อยู่ข้างๆ พี่หมอทวีปของผม ที่กำลังขมักเขม้นกับการทำหอยทอดให้ทุกคนได้ชิมเป็นออร์เดิร์ฟ ก่อนจะทอดให้ทุกคนได้รับประทานจริงๆ จังๆ ตอนมื้อกลางวัน ซึ่งตบท้ายด้วยไอศครีมกะทิเจ้าอร่อยที่พี่หมอสั่งทั้งถังใหญ่ๆ มาให้ทุกท่านได้รับประทานทุกครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษสุดกว่าครั้งไหนๆ เพราะได้รับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูนจากร้านแม่นงนุช หัวหิน และที่เลิศสุดๆ คือ ทุเรียนป่าละอู ที่คุณตู่แช่ฟรีสไว้ และนำมาให้ได้รับประทานพร้อมไอศครีมและข้าวเหนียวมูน
ทั้งๆ ที่ทุกอย่างที่พูดถึง ดับไปแล้ว หมดไปแล้ว ไม่เหลือเลยแม้สักนิด ก็ยังทำให้คิดถึงในขณะนี้ได้ ด้วยความอยากที่จะลิ้มรสนั้นอีก ความจริงในชีวิตเป็นอย่างนี้ ที่จะต้องมีหวังไปอีกนาน ไม่มีทางที่จะหมด (จาก) หวัง ซึ่งก็คือโลภะ เพื่อนสนิทแนบกายไปได้ เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาธรรมะเข้าใจ จึงไม่หวัง แม้ยังเป็นผู้ที่มีหวัง..จนกว่า..จะหมดหวัง...
ระยะหลังๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงผ่อนคลายจากภาวะโรคระบาด โควิด-๑๙ เป็นต้นมา ทำให้การมีผู้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์เดินทางไปสนทนาธรรมตามสถานที่ต่างๆ เริ่มกลับมาเหมือนเดิม ประการหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงว่าการเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ที่มีมากว่า ๖๐ ปีนั้น กำลังแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน ให้เห็นถึงความสำเร็จ และความแพร่หลายของความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์ได้เพียรแสดงมากว่าหกสิบปี จากการมีผู้ใหม่ ที่ดูเหมือนจะทยอยกันมารายงานตัวต่อพระธรรม ที่ท่านอาจารย์กำลังดำเนินการเผยแพร่อยู่อย่างต่อเนื่อง และนับวันจะมีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ
ผลของการเผยแพร่พระธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวินัย ที่ท่านอาจารย์เล็งเห็นว่า พุทธบริษัทในปัจจุบัน มีความย่อหย่อนในการศึกษาพระธรรมวินัย ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องของภิกษุ ไม่เกี่ยวกับฆราวาส อันนำมาซึ่งความเข้าใจผิด คิดเอง และหลงเชื่อภิกษุอลัชชีผู้ไม่มีความละอาย ที่เข้ามาสู่พระศาสนาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และลาภสักการะ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการรับเงินรับทองของภิกษุ ที่ชาวพุทธส่วนมากคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย หารู้ไม่ว่า เงินและทองนี้เอง เป็นที่มาของรูป รส กลิ่น เสียง ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่บุคคลที่ออกจากเรือนสู่ความเป็นบรรพชิต เพื่ออยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากการเป็นฆราวาสอย่างสิ้นเชิง
แม้การกระทำอีกหลายต่อหลายอย่าง ที่ทำกันมานานด้วยความไม่รู้ และความเห็นผิด จนกลายเป็นประเพณีที่คิดว่าต้องทำ เช่น ประเพณีการทอดกฐิน ที่กลายเป็นเรื่องของเงินทองใหญ่โต ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นเพียงเรื่องของผ้า ที่ทรงมีพุทธานุญาตต่อภิกษุสงฆ์ หาใช่เรื่องของฆราวาสแต่ประการใดไม่ เรื่องประเพณีในการเผาศพ การสวดศพ ซึ่งไม่เพียงว่าไม่ใช่หน้าที่ของภิกษุเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นเรื่องของเงินและทอง ที่ผู้ที่คิดว่าเป็นชาวพุทธต้องสูญเสียเงินทองมากมายเพื่อการนี้ โดยมีภิกษุเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอน สุดท้ายผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นชาวพุทธก็กลายเป็นเหยื่อของอลัชชี และมหาโจรห่มเหลือง เหลือบพระศาสนา ดังคำของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ด้วยพระองค์เอง และความเห็นผิด เข้าใจผิด โดยไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ก็ส่งผลให้ผู้เพียงชื่อว่าชาวพุทธนั้นเอง ได้รับความเดือดร้อนกับทุกเรื่องที่ล้วนต้องใช้เงินและทองมากมาย ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้แต่น้อย
ผลของการที่ท่านอาจารย์เพียรแสดงพระธรรมและพระวินัย โดยที่ปัจจุบัน ทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ในทุกช่องทาง เพื่อการเผยแพร่ ทำให้เกิดผลที่เห็นได้เด่นชัด คือการมีผู้ใหม่ ที่มีความสามารถในด้านต่างๆ เข้ามาให้การสนับสนุนและเข้ามามีส่วนร่วมในการเผยแพร่พระธรรม เป็นจำนวนมากขึ้น อย่างเห็นได้ชัด
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าท่านเหล่านั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง แน่นอนว่า ในทางตรงกันข้าม มีอลัชชีและผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ เริ่มหวั่นไหว เริ่มมีการกล่าวชวนเชื่อและให้ร้าย ท่านอาจารย์และการเผยแพร่ของมูลนิธิฯ ต่างๆ นานา ซึ่งจะไม่ทำให้การเผยแพร่พระธรรมของมูลนิธิฯ ต้องมีความย่อหย่อนลงไป อย่างแน่นอน
ในทางตรงกันข้าม การเผยแพร่พระธรรมของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยการนำของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กลับจะมีความเข้มแข็งและหนักหน่วงมากขึ้น เพื่อเหตุผลประการเดียวคือ การได้มีโอกาสทดแทนคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งพระองค์นั้น ในอันที่จะร่วมแรงร่วมใจกัน ดำรงพระพุทธศาสนาคือคำสอนที่ถูกต้อง ที่มาจากการบำเพ็ญพระบารมีอย่างยาวนาน กว่าจะถึงการตรัสรู้และทรงแสดง ซึ่งคำสอนนั้นได้ตกทอดมาจนถึงพวกเรา ให้สามารถเข้าใจได้ โดยความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านได้ศึกษา-เข้าใจ ทั้งเพียรกล่าว แสดง แก่พวกเราและทุกท่านที่สะสมมา ให้ได้ยินได้ฟัง มากว่าหกสิบปีแล้ว โดยท่านอาจารย์จะมีอายุครบ ๘ รอบ ๙๖ ปี ในเดือนมกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๖๖ ที่จะถึงนี้ ซึ่งท่านได้รับเชิญจากพี่แมว - คุณสาคร เศลารักษ์ เซริเยส สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ลำดับที่ ๔๒๐๔ สหายธรรมผู้มั่นคง ที่ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แต่มีบ้านเกิดอยู่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งก็เป็นบ้านเกิดของท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด น้องสาวคู่บุญบารมีของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยเช่นกัน โดยการสนทนาธรรมที่จังหวัดอุบลราชธานี ดังกล่าว จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๑๒ - ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ท่านที่สนใจเข้าร่วมฟังและสนทนา โปรดคลิกดูรายละเอียด ที่ลิงก์นี้ : ขอเชิญร่วมสนทนาธรรม เรื่อง หนทางพ้นทุกข์ จ.อุบลราชธานี ๑๒-๑๔ ม.ค. ๒๕๖๖)
พูดถึงเรื่องความอัศจรรย์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่อการเผยแพร่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เริ่มมีกำลังมากขึ้น นับตั้งแต่การเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์ได้แพร่ขยายไปสู่ผู้ศึกษา-เข้าใจ ในประเทศเวียดนาม ไต้หวัน (นอกเหนือไปจากเดิม คือ พม่า เขมร ญี่ปุ่น สเปน อเมริกา แคนาดา จีน โปแลนด์ ออสเตรเลีย เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ ) และที่น่าปีติที่สุดในชีวิตนี้ คือ ความตั้งใจแน่วแน่ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในการนำพระธรรมกลับคืนไปประดิษฐาน ณ แดนพุทธภูมิ ซึ่งได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ดังที่ทุกๆ ท่านได้ทราบแล้ว แม้ว่าจะได้รับการทัดทานจากท่านที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม และท่านอาจารย์ก็กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ในการให้ความเข้าใจพระธรรมที่มั่นคงขึ้น แก่สมาชิกของมูลนิธิพระธรรม ประเทศอินเดีย เพื่อจะเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องนี้ แก่ชาวอินเดียที่สนใจ ให้กลับมามีความเจริญรุ่งเรือง มั่นคง แพร่หลายในแดนพุทธภูมิ อีกครั้ง สืบไป
ข้าพเจ้าไม่เคยลืม ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ประเทศเวียดนาม ที่ได้มีโอกาสกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงความปีติของข้าพเจ้า ที่รู้สึกกราบเท้าอนุโมทนาท่าน ในการที่พระพุทธศาสนาจากการเผยแพร่ของท่าน กำลังแพร่ขยายมาถึงสุดฝั่งแผ่นดิน ณ คาบสมุทรอินโดจีนแห่งนี้ ด้วยมีผู้ที่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งมีผู้นำและกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนที่มั่นคงแข็งแรง มองเห็นถึงว่าพระศาสนาจะมีความเจริญ รุ่งเรือง มั่นคง ต่อไปได้ ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวตอบในทำนองที่ว่า...พระพุทธศาสนา (คือคำสอน) ที่กำลังจะสูญหายไป ก็เปรียบเหมือนกับคนที่กำลังมีอาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียู ซึ่งจะ "มีเฮือกหนึ่งที่ดีขึ้น" ก่อนที่จะจากไป....ได้ฟังเช่นนี้ ความเป็นเราก็ให้รู้สึกภาคภูมิใจ ที่นอกจากจะได้เกิดมาและได้ฟังพระธรรมแล้ว ยังได้มีโอกาสร่วมเจริญกุศลทุกประการกับทุกๆ ท่าน เพื่อยืดเวลา "เฮือกสุดท้าย" ของพระพุทธศาสนาให้ยืดยาวออกไป เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นๆ อีกมาก ด้วยความเมตตาอันไม่มีประมาณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับโอกาสอันเลิศที่ท่านมอบให้แก่ทุกๆ คน สำหรับการได้ร่วมกัน "ทำความดีและศึกษาพระธรรม" ซึ่งเป็นขณะอันประเสริฐที่หาได้ยากยิ่ง ในสังสารวัฏฏ์ กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ
ก่อนที่จะนำความการสนทนาบางตอนในวันนี้ ซึ่งดีมากๆ และอยากให้ท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไป ได้พิจารณา ก็ขอกล่าวความในใจอีกสักเล็กน้อยว่า รู้สึกดีใจที่ชีวิตนี้ ได้พบได้ฟังได้เข้าใจพระธรรม จากความเมตตาแสดงของท่านอาจารย์ ซึ่งไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาในชาตินี้แล้ว ทั้งรู้สึกยินดีและภูมิใจ ที่ได้เห็นทุกๆ ท่าน ที่ได้รับความเข้าใจพระธรรมจากการแสดงของท่านอาจารย์ ได้เข้ามาร่วมกันสนับสนุน ให้การดำเนินการของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่เต็มไปด้วยการทำความดีงามที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีความดีใดๆ จะยิ่งไปกว่านี้ สำหรับในชีวิตของบุคคลในสังสารวัฏฏ์ เพื่อผลที่กว้างไกล มั่นคง ยาวนาน ต่อๆ ไป เท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดในชีวิตสำหรับผู้ที่ได้สะสมมา ที่จะมีโอกาสได้รับฟังและเข้าใจ เพื่อสะสมเป็นบารมีทุกๆ ประการต่อๆ ไป จนกว่าจะถึงวันนั้น...
คุณหมอทวีป : ปัญหาวันนี้ คือ ทำดี ทำไม่ดี ก็เป็นตัวเราหมด แล้วก็ ความเป็นจริงของธรรมะ เป็นพื้นฐาน บางคนก็อาจจะเข้าใจ บางคนก็เข้าใจน้อย เข้าใจมาก แล้วแต่ปัญญาของแต่ละคน ก็เป็นการฟื้นฟูของเก่าที่เราได้ฟังมาบ้าง และของใหม่บ้าง ผสมผสานกัน ขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ และขอบคุณทุกท่านครับ
ท่านอาจารย์ : ปัญหาของคุณหมอก็น่าคิด ชัดเจนสำหรับทุกคน เหมือนกันหมด แต่เราไม่ได้พูดออกมา หรืออาจจะคิดไม่ถึง แต่ว่า ความจริง ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เป็นเราหมด ถูกต้องไหม? ทั้งๆ ที่หมดแล้ว ไม่ใช่เราเลย ต้องเป็นคนที่ตรง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะเข้าใจอะไร หรือไม่เข้าใจอะไรเลย ก็ไม่ใช่เราทั้งหมด แต่ ที่จะรู้อย่างนี้ได้ ไม่ใช่เราแน่นอน แต่เป็น "ความเข้าใจถูก"
เพราะฉะนั้น เวลาที่พูดว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เป็นเราไปหมดเลย นี่จริงใจที่สุด เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ที่ไหนก็เป็นเราไปหมด และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนก็ไม่มีเราทั้งหมด ไม่มีอะไรเลยทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ความตรงและความจริงใจ สำคัญที่สุด เดี๋ยวนี้ เป็นเราทั้งหมด ก็ไม่เคยรู้ว่า ทั้งหมด หมายความว่าอะไร เห็นพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? จากไม่รู้เลย ตามความเป็นจริง เริ่มเป็นผู้ตรง
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ ไม่ใช่เพื่อจะหมดความเป็นเรา ทันที บางคนก็พยายาม ไหน? ให้ไตร่ตรองอย่างไร? ให้พิจารณาอย่างไร? ให้เข้าใจอย่างไร? ใครล่ะพูด? ใครล่ะคิด? ต่อให้จะพูดต่างกับตรงนี้สักเท่าไหร่ จะพูดอะไรก็ตาม วิชาการต่างๆ ทั้งหมด ก็เป็นเรา แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นเรา เป็นเราจนไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา หรือเพียงแต่คำว่า "เป็นเรา" ก็ยังไม่รู้ว่า เป็นเราตรงไหน? แต่เป็นหมด!! ไม่ใช่เพียงชาตินี้ชาติเดียว สังสารวัฏฏ์ นานเท่าไหร่มาแล้ว และเป็นเรา อย่างแน่นหนา ทับถม ติดแน่น เหมือนกระดาษเปล่า (ผ้าขาว) แล้วก็เอาสีป้ายลงไป ทับๆ ๆ ๆ ๆ ทั้งวันทั้งคืน ลองเอาออกสิ เอาสีออกสิ ในผ้านั้น แทรกไปหมดทุกเส้นด้าย!!
เพราะฉะนั้น จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ความจริง เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพ ฟังด้วยความต้องการ ฟังด้วยความอยาก ให้ทำอะไร ทำได้หมด บอกมา จะให้พิจารณา ก็จะพิจารณา จะให้ระลึก ก็จะระลึก จะให้ตั้งมั่นอยู่ที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ก็จะตั้งมั่น แล้วเข้าใจหรือเปล่าว่า ทั้งหมดนั้นคือ "เรา" อย่างไรๆ ก็ไม่พ้นความเป็นเรา
เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ จึงไม่สนใจแล้วที่จะหมดเรา เพราะหมดไม่ได้ แต่รู้เลย ว่าไม่เคยรู้อย่างนี้มาก่อน และ ความจริงนี้ เพิ่งจะ "เริ่มรู้" ประโยชน์มากแค่ไหน เพราะถ้าไม่เริ่มรู้ ก็ไม่รู้ต่อไปอีก ในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะ!!
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ ว่า กว่าจะเห็นโทษของ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นโทษเพราะอะไร? เป็นทุกข์ ทุกขอริยสัจ ไม่ใช่ขณะอื่นเลย ขณะนี้!! เดี๋ยวนี้!! แต่ใครมองเห็นความทุกข์เดี๋ยวนี้บ้าง? ไม่เห็นมีใครเป็นทุกข์เดือดร้อน ก็ดูสบายดี บางคนอาจจะเจ็บป่วย นิดๆ หน่อยๆ มากๆ ก็แล้วแต่ ก็ยังอยู่ได้ ด้วยความต้องการว่า เมื่อไหร่จะหมดป่วย "เรา" ทั้งหมด ในสังสารวัฏฏ์!!
เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้หมดความเป็นเรา ในทันที แต่.."เริ่มรู้ความจริง"...พอรู้ความจริงแล้ว เป็นเรามานานเท่าไหร่ ไม่รู้ความจริงมานานเท่าไหร่ เพิ่งจะรู้บ้าง ไม่ใช่ทั้งหมด!! เพียงแต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่มี ให้รู้ว่า ไม่เคยรู้ความจริงเลย สักขณะเดียว แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะคิด จะจำ จะสนุกสนาน เพลิดเพลิน ทุกขณะ ไม่เคยรู้ ก็เริ่มรู้ ว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดเผยความจริงของสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ ให้รู้ว่าความจริงขณะนี้ คือ อะไร? มิฉะนั้น ก็เป็นคนนั้นนั่งที่นี่ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีอะไรๆ ทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี
ไม่ว่าไปที่ไหน ประเทศไหน สถานที่ใด คิดว่าไปท่องเที่ยว แต่ความจริง ไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่องเที่ยวอยู่ ๖ ทาง ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น!! (มีเสียงสุนัขเห่า และเสียงเตือนจากโทรศัพท์) เห็นไหม? มาแล้ว ไม่รู้ใช่ไหม? เป็นเราใช่ไหม? นี่ค่ะ ความจริง ซึ่งกว่าจะหมด ไม่เหลือเลย ซึ่งใช้คำว่าดับสนิท ไม่มีโอกาสจะเกิดอีกเลย ได้ ต้องเป็นความเข้าใจที่ ค่อยๆ ตรง แค่นี้ตรงหรือยัง? เห็นไหม? แค่นี้ตรงหรือยัง? กับไม่มีเรา กับเราเห็น เราได้ยิน ทั้งหมด แต่ความจริง ความจริงก็คือ ไม่ใช่เรา และ ไม่มีเรา แล้ว ไม่เหลือเลย นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเริ่มเข้าใจถูก ความเข้าใจถูก มีเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป จะเกิดอีกหรือเปล่า เท่านั้น เพราะเข้าใจถูกแล้ว ประเดี๋ยวก็ เรื่องนั้น เรื่องนี้ มาอีก สารพัดเรื่อง!! ความเข้าใจนิดหนึ่ง หายไปไหน? ความจริงไม่หาย แต่สะสม อย่างช้ามาก ถ้าไม่ได้เกิดบ่อยๆ นานๆ จะเกิดสักครั้งหนึ่ง ถึงจะเกิดบ่อยสักเท่าไหร่ เทียบกับที่เคยเกิดแล้วในสังสารวัฏฏ์ที่ไม่รู้และยึดถือว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีหวัง หวังไม่ได้ เพราะหวัง เป็น "เราหวัง" แต่ให้รู้ว่า ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยาก เพราะเหตุว่า ถูกปกปิดมานานเท่าไหร่ ในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่ออะไร? เห็นไหม? ต้องจุดประสงค์ถูกต้อง ถ้าจุดประสงค์ไม่ถูกต้อง ก็ เราจะได้เข้าใจ เราจะได้รู้ เราจะได้เก่ง เราจะได้รู้อายตนะคืออะไร ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร นั่นเรา แต่ว่า จริงๆ แล้ว ฟังธรรมะเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามความเป็นจริง เพื่อละความไม่รู้ และความเข้าใจผิด!!
เพราะฉะนั้น ประโยคของคุณหมอก็จริงใจ สำหรับทุกคน ที่จะวัดตัวเองได้ ความไม่รู้แค่ไหน และการได้ฟัง เพียงบางคำ บางประโยค ในชาตินี้ เข้าใจคำนั้นแค่ไหน? ลึกซึ้งแค่ไหน? มีแต่เพียงว่า จำไว้ หมายความว่าอะไร พอพูดถึงอีก ก็จำได้อีก ยังต่อความยาวไปอีก ว่าอยู่ที่ไหน อย่างไร อยากรู้คำตอบเหลือเกิน ตรงนี้สงสัยมาก "เรา" หรือเปล่า? แล้วเพื่อประโยชน์อะไร? กับ การที่ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ค่อยๆ เข้าใจมั่นคง "ไม่มีเรา" ถ้ามั่นคง การฟัง ก็เพื่อเข้าใจความจริง ในความ "ไม่มีเรา" แต่ว่าขณะนี้ ก็ยังเป็นเราที่ฟัง
เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ ลบ ละ ความเป็นเรา จากสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทั้งหมด ไม่เหลือเลย แม้สักนิดเดียว นี่ ผู้ที่เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ว่า บารมีหมายความว่าอะไร ไม่มีเรา แต่ความจริงขณะนี้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ฟังคำของผู้ที่ "รู้แล้ว" จึงได้ตรัสถึงความจริง ที่ได้รู้แล้ว
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ฟังทุกคำ และ ค่อยๆ มั่นคง ไม่ใช่ทำอย่างไร เดี๋ยวนี้ถึงจะเกิดดับ พิจารณาอย่างไร ถึงจะไม่ใช่เรา ฟังธรรมะหรือนั่นน่ะ ไม่รู้เลยว่า ไม่มีเรา หมายความว่าอะไร และ ขณะนั้น เป็นอะไร เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ว่าไม่เหลือเลยสักอย่าง!!
เมื่อกี้ ข้าวต้มอยู่ไหนคะ? รับประทานอร่อยมาก หอยทอดอยู่ไหน? น้ำดื่มอยู่ไหน? ทุกอย่างอยู่ไหน? "เรา" รับประทานหอยทอด "เรา" รับประทานข้าวต้ม เราๆ ๆ หมด ขณะนั้น นี่แหละ แล้วสังสารวัฏฏ์จะแค่ไหน!! คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ ในความลึกซึ้งของธรรมะ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมะ เพราะ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ความจริง ใครจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ ต่างกับเมื่อกี้นี้ และไม่เหลือเลย ทั้งเมื่อกี้นี้และเดี๋ยวนี้ก็หมดไป อย่างเร็วมาก สุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น การฟังแต่ละครั้ง สะสมความเข้าใจ ทีละน้อย ใครสามารถประจักษ์การเกิดดับขณะนี้ได้บ้าง? ใครสามารถแยกลักษณะที่เป็นธาตุรู้ กับสิ่งที่ไม่ใช่ธาตุรู้บ้างขณะนี้ กำลังรับประทานอาหารอร่อย อะไรล่ะขณะนั้น? รสปรากฏ ถ้ารสไม่เกิด ถ้าไม่มีธาตุที่กำลังลิ้มรส รู้รสนั้น รสจะปรากฏได้ไหม? แค่นี้ก็คิดไม่ถึงทั้งนั้น แล้วก็ไม่คิดด้วย ไม่ได้สะสมมาที่จะคิดเอง
แต่ เมื่อฟังแล้ว อย่าคิดว่าเข้าใจแล้ว เพียงคำและจำ ใช่ไหม? อย่าง ธรรมะ นี่ จำได้ พอถาม ก็ตอบคล่องหมด ยาวเลย เป็นสิ่งที่มีจริง มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นั่นหรือเข้าใจธรรมะเดี๋ยวนี้ ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น การฟังทุกครั้ง ฟังเพื่อเข้าใจ นั่นคือ หนทางละ!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณและกราบยินดีในความดีของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
ข้อความด้านล่าง ขอนำมาเป็นของแถม จากที่ได้จดคำประทับใจจากการฟังในครั้งนี้ ครับ
- ทุกครั้งที่ฟัง เพื่อเห็นความลึกซึ้ง (ของธรรม)
- ทุกคำ ค่อยๆ ฝังแน่น เป็นอธิษฐานบารมี แต่ละคำต้องมั่นคง ไม่ต้องไปทำอะไรเลย
- "เป็นเรา" เสียจนไม่รู้ ไม่สนใจ ว่า "ไม่ใช่เรา"
- มี "ความเข้าใจแค่ไหน" ขณะที่กำลังพูดว่า "ไม่ใช่เรา"
- ฟังกี่ครั้งก็ตามแต่ เหมือนจับด้ามมีด ที่ค่อยๆ สึก ไปทีละน้อย
- ด้ามมีดคือความไม่รู้ ค่อยๆ เอื้อม จนกว่าจะถึงด้ามมีด ที่จะจับ
- ไม่เอื้อมเลย หรือ กำลังคิดที่จะเอื้อม
- ละความไม่รู้และความติดข้องที่ลึกซึ้ง
- ความเข้าใจละความไม่รู้ ความไม่รู้ละความเป็นเรา
- "เห็น" กันอยู่ทุกวัน ใครคิดถึง "เห็น" บ้าง?
- ถ้ามีสติปัญญาพอ (จะ) ไม่ไปไกล จาก "เห็นขณะนี้" เลย
- ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจตามปกติในชีวิตประจำวัน ไม่มีทาง
- จะไม่มีอย่างนี้อีกเลย ในสังสารวัฏฏ์
- ประโยชน์คืออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เข้าใจ
- ถ้าไม่มีความเข้าใจ ความดีทั้งหลายก็ไม่เป็นบารมี
- ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีทางถึงปฏิปัตติ
- สิ่งที่กำลังมีนั้นแหละที่ควรรู้ ไม่ใช่ไปรู้อื่น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครบถ้วน "พอที่สัตว์โลกจะรู้ได้"
- ไม่รู้ จนไม่ปรากฏว่า ไม่รู้อะไร!!
- ถ้าไม่ฟังเลย คิดเอง อย่างไรก็ไม่รู้
- ตราบใดที่ยังไม่ตื่น ก็คิดว่าฝันเป็นเรื่องจริง!!
กราบแทบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ และขออนุโมทนาคุณหมอทวีปและคุณพรทิพย์ด้วยค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณหมอทวีปและคุณพรทิพย์ ถูกจิตรและทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลของคุณวันชัย ภู่งามที่เอื้อเฟื้อจัดทำ ณ กาลครั้งหนึ่งนี้และประทับใจยิ่งในข้อความว่า
"ประโยชน์คืออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เข้าใจ"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ยินดีในกุศลของคุณวันชัย และทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
น้อมกราบคุณพระศรีรัตนตรัยอันสูงสุด น้อมกราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์อย่างสูงค่ะ กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตนะคะ และ คณะผู้ที่มีบุญที่ได้สั่งสมมาแล้วจากอดีตชาติและได้กระทำเหตุสั่งสมไปอีกสำหรับชาติหน้า พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องน้อมพระสัทธรรมมาศึกษา คิด พิจารณา ไตร่ตรอง ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ไม่มีทรัพย์ใดๆ ในทุกๆ จักรวาลมีค่าเท่าพระสัทธรรมค่ะ.
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านนะคะ.
น้อมกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง และทุกๆ ท่านด้วย เจ้าค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณหมอทวีปและคุณทิพย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอบคุณและอนุโมทนากับภาพพร้อมบทความอันสวยงามของคุณวันชัยที่มอบให้เราผู้ติดตามการสนทนาอันมีคุณค่ายิ่งนี้ค่ะ
แม้ชีวิตมีเพียงแค่แต่ละขณะจิตอันแสนสั้น แต่ก็นั่งนับรอวันที่ท่านอาจารย์จะไป "โผด" ชาวอุบลฯ ในวันที่ 12, 13 และ 14 มกราคม 2566 ด้วยใจปิติค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ที่เคารพยิ่งครับ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอประทีปและคุณพรทิพย์ และทุกๆ ท่านด้วยครับ "ความเข้าใจละความไม่รู้ ความรู้ละความเป็นเรา" ตราบใดที่ยังไม่ตื่น ก็คิดว่าฝันเป็นเรื่องจริง กราบขอบพระคุณครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพ
ยินดีในกุศลความดีของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ยินดีในกุศลของคุณวันชัย และทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ สาธุค่ะ
กราบอนุโมทนาท่าน อ.สุจินต์ ด้วยความเคารพ ยินดีในกุศลกับคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ที่จัดให้มีการสนทนาธรรมครั้งนี้ อนุโมทนาในวิริยะของคุณวันชัย ที่จัดทำและเรียบเรียงบทความนี้ขึ้นเพื่อเกื้อกูลกับบุคคลที่ไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมฟัง อ่านต้นๆ บทความ ก็เห็นกิเลสเกิดชัดแล้วตอนอ่านเจอคำว่า ปลาต้มข้าว
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านธัมมะภาคใต้ จ.สงขลา ในโอกาสประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเปิดอาคารสำนักงาน
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ เมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนาม ๒๖ - ๓๐ มกราคม ๒๕๖๖
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ราชนาวีสโมสร ๙ ธันวาคม ๒๕๖๕
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณทักษพล คุณจริยา เจียมวิจิตร ๗ ธันวาคม ๒๕๖๕