ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๑

 
khampan.a
วันที่  9 ต.ค. 2565
หมายเลข  44584
อ่าน  952

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๑



~ ผู้ที่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เป็นผู้ที่เคารพ ว่า พระธรรมคำสอนของพระองค์ลึกซึ้ง จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ เพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ ไม่ทำให้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดสิ้นไป เพราะคิดเองหรือเข้าใจผิด

~ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถที่จะรู้เองเข้าใจเองได้ไหม? เมื่อเป็นผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมเดี๋ยวนี้และรู้ว่าผู้เดียวเท่านั้นที่รู้แจ้งในความเป็นจริงของสภาพธรรมทุกอย่างทุกประการถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง ก็ฟังคำของพระองค์ และเริ่มเห็นพระปัญญาที่รู้ความจริง จึงชื่อว่า ได้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ เริ่มเป็นคนตรงที่จะรู้ว่า การเคารพนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออย่างไร ไม่ใช่การกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนแต่ไม่รู้ธรรม ไม่เข้าใจคำของพระองค์เลย พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เพื่อดอกไม้ธูปเทียนหรือการบูชาสิ่งอื่นใด นอกจากให้คนนั้น ได้เกิดความเข้าใจ ซึ่งในสังสารวัฏฏ์ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้

~ ร่างกายนี้เป็นของเราหรือเปล่า? ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นของเราหรือเปล่า? หลงเข้าใจว่าเป็นเราและของเรามานาน แต่ความจริงก็คือตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบสัมผัสก็อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ แขนขาด ขาขาด ฟันหัก ทุกสิ่งทุกอย่าง ไหนล่ะ "เรา" ไหนล่ะ "ของเรา" เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริง แล้วก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความติดข้องซึ่งนำความทุกข์มาให้

~ เป็นคนนี้ เพียงในชาตินี้ และจะเป็นคนนี้ได้มากหรือน้อย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ว่าจะมีอายุอีกนานเท่าไหร่ และจะเห็นอะไรบ้าง ระหว่างที่ยังอยู่ในโลกนี้ เห็นแล้ว ก็รักบ้าง ชังบ้าง เดือดร้อนใจบ้าง หรือ ทำดี ทำชั่วบ้าง ก็ชั่วขณะที่เป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เป็นบุคคลอื่น ทันที ไม่ได้กลับมาเป็นบุคคลนี้อีกได้เลย เพราะฉะนั้น ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ประเสริฐที่สุด คือ ขณะที่ได้ฟังแล้วเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละความไม่รู้ และความติดข้อง ไม่ใช่เพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

~ ชีวิตที่วุ่นวาย มีปัญหาต่างๆ ทั้งหมด มาจากธรรมฝ่ายไม่ดี ซึ่งเป็นอกุศลธรรม ซึ่งใครก็ดับไม่ได้ ถ้าไม่รู้ คือ ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่อาศัยการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น ด้วยเหตุนี้ แต่ละครั้งที่มีการรู้ความจริง แม้เพียงเล็กน้อย ว่าเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

~ เมื่อใจของท่านไม่เบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่ประทุษร้าย ไม่เบียดเบียนด้วย เพราะก่อนที่จะมีการกระทำทางกาย ทางวาจา จิตใจคิดมากมายนับไม่ถ้วน ยังไม่ได้ทำเลย คิดเสียก่อนมากมายแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยกุศลหรืออกุศลก็ตาม ก็จะต้องเป็นไปตามความคิดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีใจที่ไม่ประทุษร้ายเบียดเบียน กาย วาจา ก็ย่อมไม่เบียดเบียนด้วย

~ อกุศลธรรมของคนอื่นสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิต คือ เมตตาของท่านเกิดได้ เพราะกุศลธรรม ตั้งจิตไว้ชอบ ไม่มีประโยชน์เลยในการที่จะเกิดโทสะ แต่ว่าถ้าเกิดเมตตา เวลาที่เห็นคนอื่นกระทำอกุศลกรรม ก็ดี หรือว่าสภาพจิตใจของคนนั้นเป็นอกุศล ก็ดี ควรที่จะมีเมตตาว่า บุคคลนั้นจะต้องสะสมอกุศลจิตและอกุศลกรรมไปมากมาย ควรที่จะมีเมตตาอย่างยิ่ง

~ คิดด้วยความเมตตาว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น

~ ถ้าท่านผู้ใดกำลังโกรธ ระลึกถึงความตายแล้ว เป็นกุศล เป็นอย่างไร ยังโกรธต่อไป ผูกโกรธไว้ พยาบาท หรือเมื่อระลึกถึงความตายแล้ว กุศลจิตเกิด ละความโกรธได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาความโกรธติดตามไปในภพต่อไปด้วย? ความโกรธมีประโยชน์อะไร? แต่เพราะไม่ได้ระลึกถึงความตายก็มีความโกรธ เดี๋ยวโกรธอย่างนั้น เดี๋ยวโกรธอย่างนี้ เดี๋ยวโกรธเรื่องนั้น เดี๋ยวโกรธเรื่องนี้ และก็ผูกโกรธจนกระทั่งเป็นความพยาบาท แต่ถ้าระลึกถึงความตาย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ จะละความโกรธได้ เพราะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาความโกรธติดตามไปด้วย ควรที่จะละความโกรธ ความผูกโกรธหรือความพยาบาท

~ ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครกระทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้อื่นก็ไม่ควรจะมีจิตใจเดือดร้อนกับเรื่องราวของบุคคลอื่นกับกรรมของบุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา และในขณะเดียวกัน ก็จะได้พิจารณาถึงสภาพจิตของตนเองด้วยว่า ถ้าเป็นอกุศลในขณะนั้น ก็เป็นการกระทำตนของตนเองให้เดือดร้อน แล้วก็สะสมอกุศลความเศร้าหมองของจิตมากขึ้นซึ่งก็จะเป็นโทษเพิ่มขึ้น

~ เป็นความจริงว่า ทุกคนต้องตาย แล้วใครจะตายก่อนก็ไม่ทราบ แต่เมื่อทุกคนจะต้องตาย ก็น่าที่จะพิจารณาว่า จะจากโลกนี้ไปอย่างเป็นห่วง ยังคงติดข้องในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ ในความสำคัญตนว่า เป็นเรา หรือว่าจะจากไปด้วยปัญญาที่ค่อยๆ รู้ แล้วก็ละคลาย การเห็นผิดการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน?


~ เขาตายแล้วเราร้องไห้ มีประโยชน์กับเขาหรือเปล่า? เขาไม่ต้องการน้ำตา ไม่ต้องการให้ใครมาเสียใจโศกเศร้า แต่เขาดีใจด้วย ถ้าเราทำดี

~ ประโยชน์สูงสุด คือ ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้แล้วได้เข้าใจธรรมและได้ทำดี เพราะเหตุว่า ประมาทไม่ได้เลย ขณะไหนไม่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศล

~ คนที่เป็นอกุศลมาก ก็คงต้องเป็นอกุศลเพิ่มขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถรู้ได้ว่า วันไหนจะทำอกุศลมากมายได้อย่างไร เช่น ท่านพระเทวทัต จะมีใครคิด ชาวพุทธทุกคนมองไม่ออก คิดไม่ถึงเลยว่า ใครจะสามารถเปรียบตัวเองกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ผู้ที่สะสมอกุศลมาก็เป็นอย่างนั้นได้ ใครสามารถทำอกุศลหนักหนาสาหัสได้ ก็คือผู้ที่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม ไม่มีความละอาย

~ ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าจะสามารถละกิเลสได้หมด เพราะอกุศล ไม่สามารถดับอกุศลได้ แต่กุศลสามารถดับอกุศลได้ กุศลก็มีมาก ทุกโอกาส เพียงแค่ความเป็นเพื่อนไม่ยากเลย ช่วยเหลือทันที เป็นมิตรทันที เห็นใครที่กำลังลำบาก จะช่วยหยิบของยื่นให้ยกให้ เป็นต้น ทั้งหมดนั้น ด้วยจิตที่หวังดี พร้อมจะเป็นมิตร เป็นประโยชน์

~ ใครก็ตามที่เป็นคนไม่ดี ก็คือนามธรรมที่สะสมมาในทางอกุศล จนกระทั่งสามารถที่จะกระทำอกุศลกรรมนั้นๆ ที่น่ารังเกียจ ซึ่งบุคคลที่เจริญเมตตาแล้ว สามารถที่จะเมตตาในบุคคลนั้น แทนที่จะมีโทสะในบุคคลนั้น ได้ นี่ก็เป็นสติสัมปชัญญะที่จะระลึกรู้ได้ว่า สิ่งใดควร และสิ่งใดไม่ควร ถ้าโกรธไม่พอใจ ดูหมิ่นคนชั่วหรือคนที่ทำไม่ดี ในขณะนั้นจิตเป็นอกุศล จิตของท่านเองก็เท่ากับคนอื่นที่ไม่ดี เพราะเหตุว่า ดูหมิ่นคนที่เป็นอกุศลด้วย

~ เกิดมามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ละคลายอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ย่อมไม่ถึงกาล (เวลา) ที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การที่กุศลแต่ละขณะจะเกิดได้ จะเจริญได้ ต้องอาศัยความเพียร และความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น

~ ประโยชน์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมคือทรงเห็นว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ด้วยพระมหากรุณาที่จะให้เขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุดประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม แม้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล ก็เพื่อให้เขาได้ฟัง ทรงอนุเคราะห์ เพราะเหตุว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่แล้วมาและในอนาคตไม่มีวันจบสิ้น ถ้าไม่มีการรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความไม่รู้หมดไป เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้แล้วก็ยังไม่รู้ ก็จะต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดต่อไป



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๐



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Junya
วันที่ 9 ต.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ กราบอนุโมทนาบุญและขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 9 ต.ค. 2565

ฟังธรรม เข้าใจในธรรม ในคำองค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมนำกาย วาจา อันเป็นกุศล ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ต.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
keaosangwaan
วันที่ 9 ต.ค. 2565

น้อมกราบบูชาคุณพระศรีรัตนตรัยอันสูงสุด กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ ที่เคารพอย่างยิ่งค่ะ กราบอนุโมทนาบุญในกุศลจิต ที่น้อมนำพระสัทธรรมคำจริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่าวให้ได้เข้าใจถึงพระสัทธรรมที่ละเอียด และลึกซึ้งนะคะ กราบอนุโมทนาค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 10 ต.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ