การศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด
อีกประการหนึ่ง เรื่องของการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และสอบทานกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง เช่น นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่รู้ชัดพร้อมกับสติทางมโนทวารที่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดปรากฏในขณะนั้น เป็นสิ่งที่เลือกเจาะจงไม่ได้ มีใครเจาะจงได้ไหมว่า จะให้ญาณนั้นรู้นามนั้น รู้รูปนั้น เพราะเวลาที่ความสมบูรณ์ของปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นก็เป็นอนัตตา เลือกไม่ได้ว่า จะเป็น ณ สถานที่ใด ในขณะใด นามใดเกิดขึ้นปรากฏ รูปใดเกิดขึ้นปรากฏในขณะนั้น
ตอนที่ท่านเพิ่งเริ่มเจริญสติปัฏฐานยังมีความสงสัยว่า นี่นาม หรือนี่รูป ทางตาในขณะที่เพิ่งเริ่มระลึกรู้ ก็จะเกิดความสงสัยว่า สภาพที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นลักษณะของนาม หรือเป็นลักษณะของรูป ในขณะที่กำลังเริ่มเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะยังไม่หมดความสงสัยในลักษณะของนามและรูป แต่อาศัยสติระลึกตรงลักษณะที่กำลังปรากฏแล้วก็เริ่มรู้ทีละเล็กทีละน้อย ส่วนที่จะสมบูรณ์ถึงขั้นวิปัสสนาญาณเป็น นามรูปปริจเฉทญาณนั้น ไม่มีใครสามารถที่จะไปกำหนดได้ว่า เมื่อไร ณ สถานที่ใด แล้วก็รู้นามใด รู้รูปใด แต่ญาณก็เกิดอย่างรวดเร็วตามวิถีจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้น แล้วแต่ว่าในขณะนั้นญาณนั้นรู้ลักษณะของนามใดกี่นาม รูปใดกี่รูป ปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณในขณะนั้นไม่สงสัยในลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมกับสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม
กิเลสหมดหรือยัง ยังไม่หมด
ญาณดับไหม ดับแล้ว แต่การยึดถือนามและรูปว่า เป็นตัวตนยังคงหนาแน่นเหนียวแน่น ซึ่งจะต้องอบรมเจริญสติเจริญปัญญาเพิ่มขึ้น มากขึ้น เพื่อญาณขั้นต่อไป เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในขณะที่เจริญสติอบรมปัญญา นามรูป-ปริจเฉทญาณเกิดแล้ว ปัจจยปริคคหญาณก็เกิดรู้ปัจจัยของนามและรูปในขณะที่เกิดปรากฏในขณะนั้น เพราะเหตุว่าระลึกรู้ตรงลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง ไม่มีอะไรจะมาปิดกั้นที่เกิดของนามนั้นของรูปนั้นได้ เมื่อรู้ลักษณะแล้ว ก็ยังรู้ตรงสภาพที่เกิดของนามนั้นของรูปนั้น เป็นปัจจัยของนามแต่ละชนิด รูปแต่ละชนิดที่ต่างกัน เมื่อระลึกรู้ลักษณะของนามชนิดหนึ่งเกิดที่ใด นามอีกชนิดหนึ่งมีลักษณะอย่างไร เกิดที่ใด เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย ปัญญาก็สามารถประจักษ์ชัดในสภาพธรรมที่ไม่ใช่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดสร้างขึ้น แต่เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ซึ่งวิปัสสนาญาณก็จะต้องสอดคล้องกับขั้นของความรู้แต่ละขั้นด้วย
อย่างนามรูปปริจเฉทญาณ หมดความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างกัน และปัจจยปริคคหญาณ ก็รู้ชัดถึงสภาพที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัย เมื่อยังไม่หมดโลภะ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่เป็นพระโสดาบันบุคคล ความยินดีพอใจยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนก็ยังมี แต่จะค่อยๆ หมดไปได้ เพราะเหตุว่าสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมมากขึ้น แล้วก็ละคลายมากขึ้น การเจริญสติปัฏฐานต้องเจริญนาน เป็นปกติ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...