สติซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ให้จดจ้องอยู่เฉพาะที่อารมณ์เดียว
ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องของฌานสมาบัติที่ทรงแสดงไว้ว่า การที่จะฝึกจิต อบรมจิตที่จะให้ถึงขั้นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน รูปฌาน อรูปฌาน ผู้นั้นสามารถจะกระทำได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเลย แต่นั่นเป็นสมาธิ ส่วนเรื่องของสติปัฏฐาน เวลาที่สติซึ่งเป็นอนัตตาเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ให้จดจ้องอยู่เฉพาะที่อารมณ์เดียว เพราะฉะนั้น ในขณะที่นั่งสามารถรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั้งปวงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล สามารถเป็นพระอริยสาวก คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี แม้พระอรหันต์ โดยที่ไม่ต้องผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเลย
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังสูตรนี้แล้วเข้าใจผิดว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะที่กำลังเดิน ท่านก็คิดว่าเขาคงจะดูท่าทางที่เดินก็สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ หรือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกำลังนั่งฟังธรรมแล้วรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านก็จะเข้าใจผิดว่า เขาคงจะพิจารณาท่าทาง และรู้ว่า ท่าที่กำลังนั่งนั้นเป็นรูป แล้วก็เป็นพระโสดาบันได้ ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นเลย
นั่ง นอน ยืน เดินเป็นปกติ แต่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม รู้ชัด รู้ทั่ว แล้วก็ชิน ละคลายเยื่อใยที่เคยเห็นผิดยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน แต่ไม่ใช่ว่า รู้ท่าทาง แล้วจะเป็นพระโสดาบัน
ท่านอาจจะเคยเข้าใจผิดอย่างนั้นได้ โดยเข้าใจว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นการรู้ท่าทาง ซึ่งความจริงไม่ใช่ แต่ต้องเป็นการรู้สภาวลักษณะที่ปรากฏ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...