การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน
อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต พยากรณสูตร มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน
คือ บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะความเป็นผู้หลง ๑
บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำ ย่อมพยากรณ์อรหัต ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้งซ่าน ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต ตามความสำคัญว่าได้บรรลุ ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัตโดยถูกต้อง ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้แล
ไม่ต้องถึงอรหัต เพียงผลที่ท่านกล่าวมาก็ควรพิจารณาแล้วว่า เป็นผลที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมีเหตุและผลที่จะตรวจสอบว่า เป็นญาณที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้งผลและเหตุ และไม่ใช่มีแต่ในครั้งนี้ แต่มีในครั้งโน้นทีเดียว มิฉะนั้นพระสูตรนี้คงจะไม่มีที่ว่า
ประการที่ ๑ บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะความเป็นผู้หลง ๑ เป็นไปได้ไหม ได้
บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำ ย่อมพยากรณ์อรหัต ๑
เคยได้ยินใครบอกว่า ได้เป็นพระโสดาบันบ้าง หรือบรรลุโสฬสญาณ น่าคิดว่าเป็นการพยากรณ์เพราะเป็นผู้เขลา ๑ เพราะความเป็นผู้หลง ๑ หรือเพราะถูกความปรารถนาครอบงำ ๑
ความปรารถนานี้ยากเหลือเกินที่จะพรากออก ดูเหมือนว่าท่านปฏิบัติถูกๆ ผิดๆ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีใครพยากรณ์ว่า ท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็รีบรับเอาทีเดียวด้วยความปรารถนาลามก ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล นี่เป็นสิ่งที่มีเพราะถูกความปรารถนาครอบงำก็เป็นได้ นอกจากนั้นยังมีบุคคลที่ย่อมพยากรณ์อรหัตเพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้งซ่าน หรือบุคคลย่อมพยากรณ์อรหัตเพราะความสำคัญว่าได้บรรลุ
ขอถอยลงมาจากอรหัต มาเป็นวิปัสสนาญาณแรก คือ นามรูปปริจเฉทญาณ เพื่อเป็นเครื่องเทียบเคียงว่า ที่ท่านเข้าใจว่าท่านบรรลุญาณแล้วนั้นเป็นความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ และข้อปฏิบัติอย่างไรทำให้ท่านสามารถที่จะรู้ความต่างกันของนามและรูปซึ่งเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ
สำหรับการเจริญสติปัฏฐานที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้น สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรม ที่ใช้คำว่า สภาวะ หมายความถึง สภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏ อ่อน แข็ง ก็เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นก็ปรากฏ แต่ปัญญายังไม่รู้ชัดว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่ตัวตน จนกว่าจะบรรลุถึงนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็นความรู้ชัดทางมโนทวาร ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีความเคลือบแคลงเลยว่า นามธรรมนั้นมีลักษณะอย่างนี้ รูปธรรมนั้นมีลักษณะอย่างนั้น เพราะเมื่อปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางมโนทวาร จะไม่ก้าวก่ายสับสนปนกัน สืบต่อติดกันแน่นเหมือนอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่เป็นการรู้ชัด เพราะลักษณะนั้นปรากฏโดยความเป็นอนัตตา จะจำกัดได้ตามความปรารถนาไหมว่า ให้รู้รูปนั้น ให้รู้นามนี้
เพราะฉะนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจะต้องเริ่มด้วยการระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ไม่เจาะจง ไม่จำกัด นามที่เกิดปรากฏแล้วก็เป็นสภาพรู้ สภาพรู้มีใครจำกัดได้ไหมว่า ให้รู้แต่สิ่งนั้นตรงนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถไปยับยั้งเวลาที่ญาณนั้นเกิดขึ้น ให้จำกัดความรู้ไว้เพียงแค่นั้น ไม่ให้รู้อย่างอื่น ให้รู้แต่เฉพาะรูปนั้นก็ไม่ได้ ให้รู้แต่เฉพาะนามนั้นก็ไม่ได้ เมื่อผู้นั้นประจักษ์สภาวธรรมของนามธาตุแล้ว จะหมดความสงสัยในโลกทั้งปวง เพราะนามธาตุเป็นสภาพรู้ ปรากฏในขณะนั้นอย่างไร ที่โลกอื่น ภพอื่น นามธาตุจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้ไหม นามธาตุก็ยังคงเป็นสภาพรู้อยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จะหมดความคิด ความสงสัย ความแคลงใจในนรก ในสวรรค์ ในพรหมโลก หรือในที่อื่น เพราะได้ประจักษ์สภาวะลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง โดยเลือกไม่ได้ แต่ที่ท่านอ้างว่า ท่านรู้สภาวะเพราะนั่งแล้วก็เมื่อย ก็พิจารณาว่าเป็นทุกข์จึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ขณะที่คิดอย่างนั้น ช่วยให้ท่านรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมอะไร เป็นใครคิด เป็นแบบ เป็นแผน ที่เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถ ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันหรือ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...