ความเข้าใจเรื่อง สังเวช สลดใจ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เรื่อง ความสังเวช สลดใจ ความสังเวช สลดใจ ต้องเป็นจิตที่เป็นกุศลและประกอบด้วยปัญญา ขณะใดที่เศร้าโศก เสียใจ เพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะนั้นไม่ใช่ความสังเวช สลดใจ ความสังเวช สลดใจนั้น เกิดจากการเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตามความเป็นจริง เช่น เห็นความแก่ เจ็บ ตาย หรือเพราะคำเตือน เป็นต้น เกิดความสังเวช สลดใจแต่ไม่ใช่เห็นแล้วเศร้าโศกเสียใจ แต่เห็นแล้ว รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธัมมะนั้น จึงสังเวช สลดใจและปรารภความเพียรที่จะดับกิเลส เป็นต้น หรือ เห็นตามความเป็นจริงของสภาพธัมมะ ว่าสภาพธัมมะทั้งหลายไม่เที่ยงด้วยปัญญา จึงเกิดความสังเวช สลดใจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของปัญญา ซึ่งไม่ใช่ความเศร้าโศกเสียใจ หมายถึง ความสังเวช สลดใจ เพราะขณะที่เศร้าโศก เสียใจ เป็นอกุศลจึงไม่ใช่ สังเวช สลดใจ ดังข้อความในพระไตรปิฎกครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 311
อรรถกถาอธิมัตตัตถนิเทศ
บทว่า สเวโค อุปฺปชฺชติ ความสังเวชย่อมเกิดขึ้นคือ ความสังเวชในเพราะความปรวนแปร ของสังขารย่อมเกิดขึ้นเพราะรู้แจ้งโทษของสังขารด้วยแสงสว่าง คือญาณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 411
ญาณประกอบด้วยโอตตัปปะ ชื่อว่าความสังเวช. ความสังเวชนั้น
ญาณประกอบด้วยโอตตัปปะ ชื่อว่าความสังเวช. ความสังเวชนั้นเกิดขึ้นแก่นางเพราะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตสฺมา เม อหุ สํเวโค ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 386
อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความสงบ เพราะไม่มีความฟุ้งซ่าน เพราะเกิดความสังเวช และเพราะตั้งความสังเวชไว้โดยแยบคาย ด้วยทุกขานุปัสสนา.
ตัวอย่าง ความสังเวช สลดใจ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 153
อรรถกถาทูตสูตร
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เป็นเทวทูต เพราะเป็นทูตของวิสุทธิเทพก็ได้ อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทุกองค์ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชเท่านั้น ก็ถึงความสังเวชแล้วออกบวช. คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวชชื่อว่า เทวทูต เพราะเป็นทูตของวิสุทธิเทพทั้งหลายบ้าง ดังพรรณนามานี้.
เรื่อง เมื่อสังเวช แล้วปรารภความเพียร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 120
วิริยะนี้นั้น มีความอุตสาหะเป็นลักษณะ, มีการอุปถัมภ์ สหชาตธรรมเป็นกิจ, มีการไม่ย่อท้อเป็นอาการปรากฏเฉพาะหน้า, มีความสังเวชเป็นเหตุใกล้ โดยพระบาลีว่า เป็นผู้สลดแล้ว เริ่มตั้งความเพียรไว้โดยแยบคาย ดังนี้เป็นต้น, หรือมีเหตุเป็นเครื่องเริ่มความเพียรเป็นเหตุใกล้.
สังเวช หรือความสลดใจ ต้องเป็นปัญญาเป็นกุศล ที่สลดใจจากอกุศล คือถอยกลับ งอกลับ จากความไม่ดีของอกุศลทางกาย ทางวาจา ทำให้มีความมั่นคง ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ร่วมถึงการอบรมเจริญปัญญาด้วยค่ะ
แล้วความหมายของคําว่า สังเวชนียสถาน ที่ถูกหมายความว่าอย่างไรครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เป็นสถานที่ ที่ควรระลึกถึงด้วยความสังเวช ด้วยปัญญา เช่น แม้ พระโพธิสัตว์ก็ยังต้องประสูติ ตราบใดที่ยังไม่ดับกิเลสและเมื่อเกิดความเกิดก็ย่อมเป็นที่ตั้งของทุกข์ประการต่างๆ คือเมื่อเกิดก็ต้องทุกข์เรื่องต่างๆ ดังนั้น ควรสังเวชด้วยปัญญา เห็นภัยในการเกิด จึงปรารภความเพียร เพื่อดับกิเลส นี่คือ สถานที่ที่ควรสังเวช คือแม้ที่พระองค์ประสูติ หรือแม้พระพุทธองค์ก็ต้องทรงดับขันธปรินิพพาน จะกล่าวไปใยถึง พวกเรา เมื่อเป็นดังนี้ สถานที่นั้นจึงเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวชด้วยปัญญา โดยเห็นภัยของมรณะ ว่ามาเมื่อไหร่ก็ได้ ควรปรารภความเพียร เช่น ฟังพระธรรม เป็นต้น ดังนั้น สังเวชจึงเป็นชื่อของปัญญา โดยสถานที่ เป็นที่ตั้งให้สังเวช เมื่อเห็นสถานที่นั้นครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก
เรื่อง ความสังเวชใน สถานที่ ๔ แห่งครับ ลองอ่านดูนะ