Thai-Hindi 15 October 2022
Thai-Hindi 15 Oct 2022
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น) รู้จักเห็นรึยัง (ยังไม่รู้จัก) ทำอย่างไรถึงจะรู้จัก ควรรู้จักไหม แล้วรู้จักรึยัง
- เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ควรรู้แต่ยังไม่รู้ มีหนทางที่จะรู้ไหม หนทางคืออะไร (ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรอง)
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็น คืออะไร (เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม)
- ต่างกับธรรมอื่นอย่างไร (ต่างกันที่เรารู้ว่ าที่เป็นคนเป็นธรรมอย่างหนึ่ง)
- ถ้าบอกว่า เห็นเป็นธรรมอย่าง ๑ บอกได้ไหมว่า ธรรมที่ถูกเห็นเป็นอะไร อย่าง ๑ คืออะไรคิดเดี๋ยวนี้เลย เห็นอะไร (สิ่งที่ปรากฏให้เห็น)
- เขาใช้คำว่า “สิ่งที่ปรากฏ” เสมอไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ถามว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นอะไร สิ่งนั้นคืออะไรที่ถูกเห็น ไม่ใช่ให้ตอบว่า เป็นรูป ไม่ใช่ให้ตอบว่า เป็นสี แต่สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้)
- เดี๋ยวนี้ถามอีกครั้ง เห็นอะไร (เห็นสิ่งที่เห็น) จะใช้คำว่า “เห็นสี” ก็เข้าใจได้ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏ ไม่มีคำ แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ถ้าเราจะพูดให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร จำเป็นต้องใช้คำให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาใช้คำว่า สี ต่อไปนี้ให้รู้ว่าพูดถึงเห็นสี หมายความว่าปรากฏให้เห็นทางตา
- คำที่ใช้เรียกให้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏ จะใช้ภาษาอะไรก็ได้สำหรับแต่ละกลุ่มของบุคคลที่รู้ว่า หมายความถึงสิ่งนั้นในคำนั้น
- เพราะฉะนั้นต่อไปจะถามให้ละเอียดขึ้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีอะไร (หลายสี)
- จำไว้นะคะหลายสี เห็นหลายสีทีเดียวหรือเห็นทีละสี เดี๋ยวนี้จะเห็นพร้อมกันทีเดียวหลายสีได้ไหม
- ตั้งต้นใหม่ เขาเห็นสีใช่ไหม เวลาที่ศึกษาธรรม ไม่ได้ศึกษาชื่อเท่านั้นต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเรากำลังพูดให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
- ต้องฟังดีๆ กำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ๑ คือเห็นกำลังเห็น ทวนอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เข้าใจเห็นที่กำลังเห็น ไม่ใช่ไปคิดเรื่องชื่อ เรื่องต่างๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้กำลังศึกษาให้เข้าใจว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นสีใช่ไหม
- เดี๋ยวนี้เอง เห็นสีอะไร (เห็นสีขาว) (เห็นหลายสี) เพราะฉะนั้นเห็นหลายสีพร้อมกันได้ไหม (ไม่ได้)
- แสดงว่า เห็นสีหนึ่งดับไป เห็นสีหนึ่งดับไปทีละสี ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังพูดว่า เห็นสีขาว มีสีอื่นอยู่ด้วยใช่ไหม แสดงว่า ความจริงเป็นอย่างหนึ่งแต่สิ่งที่ปรากฏเป็นอีกอย่างหนึ่งใช่ไหม
- เริ่มเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ความจริงต้องเห็นทีละหนึ่งสี แต่ความจริงขณะนี้แม้พูดว่า เห็นสีขาวก็มีสีอื่นรวมอยู่ด้วยแล้ว มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีสีต่างๆ มากมาส ไม่ใช่เพียงสีขาวใช่ไหม
- นี่แหละความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่ฟังละเอียดไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้ความจริง
- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้ตลอดถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- กำลังเริ่มเข้าใจความจริงของแต่ละอย่างที่มีจริงๆ แต่ว่ายังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง
- อยู่ในโลกของความไม่รู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเพียง ๑
- ขณะที่เห็นสีขาวต้องไม่มีอย่างอื่นทั้งหมด โลกก็ไม่มี พระอาทิตย์ พระจันทร์ บ้านช่องอะไรไม่มีหมด มีแต่สีขาวที่ปรากฏ นี่คือความเป็นจริง
- เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกของการไม่รู้ว่า ขณะนี้อยู่ในสิ่งที่เป็นหลายๆ สีทำให้เกิดรูปร่างสัณฐานต่างๆ
- เพราะฉะนั้นเราจะค่อยๆ พูดทีละคำให้เขาคิดให้ละเอียดให้มั่นคง ถ้าเราพูดให้เขาจำไม่มีประโยชน์เลย แต่พูดให้เขาคิดจนกระทั่งคนนั้นเข้าใจว่า ขณะนี้ความจริงต้องเห็นเพียง ๑ สีแต่ที่ปรากฏเป็นหลายๆ สีพร้อมกันเพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้
- เพราะฉะนั้นความไม่รู้จะมากแค่ไหน ไม่รู้ในขณะที่เห็นแต่ละ ๑ สีจนกว่าจะเป็นหลายๆ สีไม่รู้ทั้งหมด และเป็นหลายๆ สีแล้วเป็นรูปร่างสัณฐานทั้งหมดก็ไม่รู้ทั้งหมด และยังมีการทรงจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่รู้ทั้งหมด แสดงว่า ไม่รู้สักขณะ
- วันนี้ทั้งวันไม่เข้าใจแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเมื่อสิ่งเดียวปรากฏ สิ่งอื่นจะไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีหลายๆ อย่างปรากฏก็แสดงความเร็วว่า แต่ละขณะสิ่งที่ปรากฏต้องปรากฏทีละ ๑ แต่รวมกันเป็นรูปร่างสัณฐานตลอดตั้งแต่เช้า และก็ไม่ใช่เฉพาะวันนี้ ตั้งแต่เกิดทุกขณะและไม่ใช่ชาตินี้ หลายๆ ชาติมาแล้วเพราะฉะนั้นความไม่รู้มากมายทั้งหมด
- ถูกต้องที่สุด ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีแต่ละ ๑ เพราะต่างกันทั้งหมด ไม่ซ้ำกันเลย
- เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่า ศึกษาธรรมโดยได้ยินแต่ชื่อ จำแต่ชื่อ ไม่ใช่การศึกษาธรรมเลย ไม่มีประโยชน์อะไร จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่รู้ธรรมต่อไป
- เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีเพราะถ้าสิ่งนั้นไม่มีจะเข้าใจได้อย่างไร
- นี่เป็นการเริ่มต้นของความเข้าใจถูกในลักษณะความจริงที่กำลังปรากฏ
- เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มมีความเคารพสูงสุดในสิ่งที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสแต่ละคำให้เราไตร่ตรอง ให้เราเข้าใจรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
- เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรมแล้วสามารถเข้าใจในสิ่งที่มีกำลังมีในขณะนี้ทุกขณะก็จะเป็นประโยชน์สูงสุด
- วันนี้เริ่มเข้าใจความจริงของเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ใช่ไหม แต่ยังไม่รู้จักเห็นใช่ไหม แม้แต่ประโยคนี้ต้องไตร่ตรองจึงจะเป็นปัญญาที่สามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น
- ทั้งหมดที่เราพูดถึงเป็นเรื่องความจริงของเห็นใช่ไหม แต่ยังไม่รู้จักเห็นจริงๆ จริงไหม
- เพียงได้ยินว่า เห็นจริงๆ และเห็นๆ เพียง ๑ และเกิดขึ้นแล้วดับไป ชื่อว่า ได้ยินเรื่องราวของเห็นแต่เดี๋ยวนี้เห็นกำลังเห็น ยังไม่รู้จักเห็นที่เกิดขึ้นเห็นใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้เลย จะสามารถมีความเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นและรู้จักเห็นได้ไหม
- เพราะฉะนั้นความจริงถึงที่สุดคือ รู้จักเห็น ไม่ใช่ฟังเรื่องเห็น มั่นคงน้อยมากเพียงขั้นฟัง
- เพราะฉะนั้นต้องฟังต่อไป เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย มั่นคงขึ้นจนกระทั่งถึงการรู้จักเห็น
- ถ้าเปรียบกับสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมาที่ไม่รู้อะไรเลย ขณะนี้เริ่มรู้ เริ่มเข้าใจ
- ธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้คือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้น ไตร่ตรอง กำลังมีเห็น ฟังเรื่องเห็น เข้าใจเรื่องเห็น รู้จักเห็นรึยัง (ถึงตอนนี้ก็เข้าใจเป็นเรื่องราว) เพราะอะไร
- ที่ยังไม่รู้จักเห็นเพราะเหตุว่า ไม่ได้มีแต่เห็น มีเสียง มีได้ยิน มีจำ มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีชอบ มีไม่ชอบ แล้วจะรู้จักเห็นได้อย่างไรถ้าทุกสิ่งทุกอย่างยังรวมกัน ถ้าไม่รู้ว่า เห็นอยู่ไหน จะรู้จักเห็นไหม
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนว่า เห็นอยู่ไหนจะได้รู้จักเห็น รู้รึยังว่า เห็นอยู่ไหนจะได้รู้จักเห็น
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่า เห็นอยู่ที่ตรงเห็น ไม่ได้อยู่ที่ได้ยิน ไม่ใช่อยู่ที่คิด ไม่ใช่อยู่ที่เสียง จึงสามารถที่จะเริ่มค่อยๆ รู้จักเห็น
- เพราะฉะนั้นไม่มีใครบังคับให้ไปรู้ตรงเห็นในขณะที่กำลังเห็น แต่ความเข้าใจว่า ขณะที่เห็นมีแต่เห็นเท่านั้นจะทำให้รู้ตรงเห็นทีละเล็กทีละน้อย
- ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเลยจะไม่รู้เลยเพราะเหตุว่า เห็นเกิดแล้วดับไม่รู้ว่า ขณะนั้นตรงเห็นจะไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้นนอกจากเห็น
- มีสิ่งที่มีจริงแต่ไม่เคยรู้ว่า สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป เมื่อไม่รู้ว่า เห็นต้องเกิดจึงมีเห็น เห็นเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเพียงเห็นเกิดแล้วเห็นดับ
- มีอะไรที่เกิดปรากฏว่ามีแล้วไม่ดับบ้าง (ไม่มี) แต่ขณะนี้ไม่ได้ปรากฏว่า อะไรเกิดดับใช่ไหม แต่เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ก็สามารถจะเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งเริ่มรู้จักสิ่งที่มีเป็นสิ่งที่มีเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
- เริ่มค่อยๆ รู้ความจริง เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงที่ไม่ใช่เราจึงจะสามารถเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ได้
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามที่พระพุทธองค์สอน) เพื่อเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีธรรมที่เกิดดับเร็วสืบต่อสุดที่จะประมาณได้รวมกันทำให้เข้าใจผิดคิดว่า สภาพธรรมที่เกิดไม่ดับและที่ปรากฏว่ามีแล้วโดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้นแล้วดับไป
- เริ่มรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา ทุกอย่างที่มีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอาคิ่ล ไม่มีอาช่า ไม่มีราชิตไม่มีใครทั้งหมด มีแต่ความดีและความชั่วและธรรมที่เกิดขึ้นเห็นได้ยินเป็นต้น
- จนกว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ปรากฏการเกิดดับ จึงจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมขึ้นอีกว่า ไม่มีเราเพราะหมดแล้ว
- เมื่อวานนี้มีอาคิ่ลไหม พรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น มีอาคิ่ล มีอาช่า มีราชิตไหม ยังไม่เกิดแล้วจะมีได้อย่างไรใช่ไหม แล้วเดี๋ยวนี้มีอาคิ่ล มีอาช่า มีราชิตไหม (ไม่)
- เพราะฉะนั้นฟังธรรมต่อไปอีกๆ เพื่อเข้าใจความจริงจนกระทั่งค่อยๆ รู้จักธรรมทีละ ๑
- ธรรมที่จะรู้จักคืออะไรเดี๋ยวนี้ ธรรมมีหลายอย่างเพราะฉะนั้นจะรู้จากความเข้าใจในคำเหล่านั้น (คือได้ยิน) รู้ได้อย่างไร (เพราะว่ามีจริง) ยังไม่เกิดจะรู้ได้หรือว่าจะรู้อะไร จะรู้ความจริงของอะไรในเมื่อยังไม่เกิด
- ถามว่า จะรู้จักธรรมอะไร ต่อไปนี้จะรู้จักธรรมอะไร (ตอนนี้มีธรรมหลายอย่างเกิดขึ้น) แต่คำตอบคือ เราจะรู้ไม่ได้เพราะยังไม่เกิดถูกต้องไหม นี่คือความเข้าใจที่เริ่มจะเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา เพิ่มขึ้นๆ จนมั่นคงจริงๆ
- เพียงผิดนิดเดียวก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เพราะมีความต้องการด้วยความเป็นตัวตน
- เพราะฉะนั้นเริ่มมั่นคงในความไม่มีเรา เข้าใจคำว่า อนัตตาไม่ใช่เพียงชื่อแต่หมายความถึงทุกสิ่งทั้งหมดไม่สามารถที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
- คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เปลี่ยนได้ไหม ถ้าทุกอย่างรวมกันจะรู้ความจริงได้ไหม
- เพราะฉะนั้นอริยสัจธรรมมีเท่าไหร่ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
- อะไรเป็นทุกข์ (เห็นเป็นทุกข์) เป็นทุกข์อย่างไร (เพราะเกิดแล้วดับ ไม่อยู่ ไม่เที่ยง) รู้จริงๆ รึยัง (ยังไม่รู้แต่เริ่มเข้าใจหลังจากฟัง) ถูกต้อง อดทนไหมที่จะรู้กว่าจะรู้ (อดทน)
- เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักคำว่า บารมีเพื่อที่จะรู้ความจริงซึ่งละเอียดลึกซึ้ง กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ก็ไม่ปรากฏ
- นอกจากเห็นเป็นทุกข์แล้ว อะไรเป็นทุกข์อีก (ได้ยินและเสียง) ทุกอย่างทั้งหมดที่มีในชีวิตประจำวันเกิดแล้วดับทั้งหมด
- กำลังรับประทานอาหารเป็นทุกข์ไหม (เป็น) กำลังฟังเพลงเพราะๆ เป็นทุกข์ไหม (เป็น) เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจว่า สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์
- เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจอริยสัจธรรมมี ๓ รอบๆ ที่ ๑ คือ สัจจญาณ ความเข้าใจถูกในอริยสัจธรรม ๔ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นสัจธรรมอะไร (สัจจญาณ)
- เดี๋ยวนี้เป็นสัจธรรมรอบที่ ๑ ที่เพิ่งเริ่มที่จะรู้เพียง ๑ เรายังไม่ไปถึง ๓ เราเพียงพูดทุกขอริยสัจจะ เพราะฉะนั้นขณะนี้รอบรู้ในอริยสัจธรรมที่ ๑ รึยังเพราะต้องรู้ทั้ง ๔
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีทุกขอริยสัจไหม (มี) ระดับไหน (เพราะว่าเห็นเกิดแล้วดับ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา)
- ถูกต้อง ต้องไม่ลืม สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำลังมีเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป การเกิดดับเป็นทุกข์ เห็นรึยังว่าเป็นทุกข์ (ยังไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นถ้าสามารถรู้ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขณะนี้เป็นทุกข์เพราะต้องเกิดแล้วดับ ต่างกับขณะที่ไม่รู้เลยใช่ไหม (ถ้าไม่รู้เป็นทุกข์มากกว่า)
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้แล้วเป็นทุกข์มากกว่า หมายความว่าอะไร (เข้าใจว่าหมายถึงทุกข์ใจ ไม่เคยฟังเรื่อง ทุกข์ ๓ อย่าง)
- เพราะฉะนั้นทุกข์มีหลายอย่างเพราะไม่รู้ความจริง เดี๋ยวนี้ไม่มี สุญญตา หมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย เขายังคิดว่ามีอยู่ ยังติดข้อง ยังแสวงหา ขณะที่พอใจอย่างมากจนแสวงหา เป็นทุกข์ไหม
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริงก็เป็นเรา ยึดมั่นในเรา มีความพอใจในทุกอย่างที่จะให้เป็นของเรา แต่ความจริงไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกข์จริงๆ ที่ทุกคนบังคับไม่ได้ก็คือว่า ตราบใดที่ยังมีความพอใจ มีสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้น มีสิ่งนั้นก็ดับไป เป็นทุกข์
- เพราะฉะนั้นราชิตกำลังเป็นทุกข์รึเปล่า (เป็น) อย่าลืม ตอบว่าเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นทุกข์ไม่ใช่คุณราชิต
- เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับไม่ใช่เรา ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ที่ทำให้เกิดความทุกข์ที่เป็นเรา
- ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นทุกข์ จะไม่พบการดับทุกข์ซึ่งเมื่อดับทุกข์ๆ เกิดอีกไม่ได้เลย ขณะนั้นจึงไม่มีทุกข์ นี่คือความหมายของคำว่า ทุกขอริยสัจ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นทุกข์เพราะไม่มีอีกแล้ว เพียงแค่เกิดดับๆ ๆ โดยไม่มีใคร ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่ธรรมที่ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไม่เหลือเลย
- ไม่มีเรา ขณะนี้เป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัย เกิดแล้วดับ มั่นคงก็เป็นสัจจญาณในอริยสัจ ๔ ที่หนึ่ง เข้าใจแล้วก็ลืมแล้วใช่ไหม (เพราะไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ ถึงลืม)
- ถูกต้อง นี่เริ่มเห็นความลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากกว่านี้หลายคำมากกว่านี้ใน ๔๕ พรรษา
- เริ่มมีความมั่นคง มีความเห็นคุณและมีความเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นที่ทำให้มีวันนี้ที่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง
- นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่ได้เข้าใจคำของพระองค์
- ยินดีด้วยในกุศลของทุกคนที่ได้เริ่มเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการฟังพระธรรมและเริ่มมีความเข้าใจ ไม่ใช่ได้ยินชื่อแล้วมีความเคารพ
- ถ้านับถือเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะไม่ฟังคำของพระองค์อีกได้ไหม
- ฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้ง แล้วค่อยๆ เข้าใจความจริงจนกระทั่งมั่นคงนั่นคือปริยัติ มั่นคงในสัจจญาณ รอบรู้ในอริยสัจธรรมที่ ๑
- ถ้าเข้าใจธรรมผิดๆ หรือคิดเอง นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึเปล่า เพราะฉะนั้นเมื่อฟังคำของพระองค์จะไม่เข้าใจผิดจากคำที่พระองค์ตรัสว่าทุกคำที่ลึกซึ้ง
- สำหรับวันนี้ก็ยินดีด้วยในกุศลทุกคนที่มั่นคงและเคารพสูงสุดด้วยการฟังพระธรรมด้วยความละเอียดลึกซึ้งขึ้นจนกระทั่งสามารถรู้ความจริงได้ สวัสดีค่ะ