เจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อความรู้ชัด
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า
ดูกร ท่านผู้มีอายุ ก็อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อันพระผู้มีพระ-ภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไว้ชอบนี้ มีอย่างละ ๖ แล อย่างละ ๖ เป็นไฉน คือ จักษุและรูป โสตและเสียง ฆานและกลิ่น ชิวหาและรส กายและโผฏฐัพพะ มโนและธัมมารมณ์
ดูกร ท่านผู้มีอายุ นี้แล อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อย่างละ ๖ อัน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไว้ชอบแล้ว ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายใน ทั้งภายนอก อย่างละ ๖ เหล่านี้
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่รู้อายตนะได้ไหม จะให้ไม่รู้นั่น จะไม่ให้รู้นี่ ให้เว้น ให้ข้าม เสียงไม่ให้รู้ สีไม่ให้รู้ ทางตาให้รู้เห็น ทางหูให้รู้ได้ยิน พอถึงทางจมูกไม่ให้รู้ได้กลิ่น แต่ให้รู้กลิ่น ไม่ให้รู้สภาพที่รู้รส แต่ให้รู้รส ทางกายก็ไม่ให้รู้สภาพที่กำลังรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นั่นเป็นเรื่องไม่ให้รู้ ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่องไม่ให้รู้ มีแต่เรื่องเจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อความรู้ชัด แล้วละความไม่รู้ให้หมด ละความสงสัย เคลือบแคลงในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะเจริญสติ ไม่ต้องกลัวที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปให้ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ชัด ไม่ใช่ว่าข้ามไป ไม่ให้รู้นั่น ไม่ให้รู้นี่
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...