บุพพกรรมของนางเทพธิดา ผู้อยู่ในอุโบสถวิมาน
ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ อุโบสถวิมาน มีข้อความว่า
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามถึงบุพพกรรมของนางเทพธิดานั้นว่า
ดูกร แม่เทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตย์อยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงมีผิวพรรณงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมอะไร
นางเทพธิดานั้น อันท่านพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า
ดิฉันเป็นอุบาสิกาอยู่ในเมืองสาเกต ประชาชนเรียกดิฉันว่า แม่อุโบสถ เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและศีล ได้เป็นอุบาสิกาของพระสมณโคดมผู้มีพระจักษุ สมบูรณ์ด้วยพระเกียรติยศ เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉันจึงมีวรรณงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศเพราะบุญนั้น
เมื่อเทพธิดานั้นจะแสดงโทษของตน นางเทพธิดานั้นจึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาอีกว่า
ความพอใจได้เกิดมีแก่ดิฉัน เพราะได้ทราบถึงทิพยสมบัติต่างๆ ในนันทวันเนืองๆ เพราะเหตุที่ตั้งใจไว้ ดิฉันจึงได้บังเกิดในนันทวัน ชั้นดาวดึงส์พิภพนั้น
นี่เป็นข้อ ๑ และอีกข้อ ๑ นางเทพธิดาได้กล่าวว่า
ดิฉันมิได้ใส่ใจถึงพระวาจาของพระพุทธเจ้าเหล่ากอแห่งพระอาทิตย์ ตั้งจิตไว้ในภพอันเลว จึงมีความเดือดร้อนในภายหลัง
เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ฟังคำของนางเทพธิดาแล้ว เพื่อที่จะปลุกปลอบใจนางเทพธิดานั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ จึงกล่าวคาถานี้ ความว่า
ดูกร แม่เทพธิดา อาตมาถามท่านแล้ว ถ้าทราบอายุของท่านผู้อยู่ในอุโบสถวิมานในโลกนี้ จงบอกว่า สิ้นกาลนานเท่าไร
นางเทพธิดานั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านจอมปราชญ์ ดิฉันดำรงอยู่ในอุโบสถวิมานนี้ สิ้นกาลประมาณ ๖ หมื่นปีทิพย์ จุติจากที่นี่แล้ว จะไปบังเกิดเป็นมนุษย์
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระได้ยังนางเทพธิดานั้น ให้อาจหาญร่าเริง ด้วยคาถานี้ ความว่า
ท่านอย่าสะทกสะท้านถึงการอยู่ในอุโบสถวิมานนี้เลย ท่านเป็นผู้อัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้แล้ว ท่านจักถึงคุณวิเศษ คือ เป็นพระโสดาบัน ทุคติของท่าน ก็จะพลันเสื่อมไป
นี่เป็นชีวิตจริงของอุบาสิกาท่านหนึ่งในเมืองสาเกต ถ้าท่านศึกษาจากประวัติของพระอริยสาวกทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า ท่านเป็นผู้ที่ได้เคยฟังธรรม ได้เคยมีศรัทธา แม้ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระวิปัสสี ล่วงไปจนกระทั่งถึงสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ล่วงไปอีกจนถึงสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ จึงได้บรรลุอริยสัจธรรม
แสดงให้เห็นว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นละเอียด ต้องรู้ทั่ว รู้ชัด รู้จริง และความรู้นั้นก็ละคลายการยึดถือนามและรูปที่เคยหลงยึดถือว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้จริงๆ แต่ที่จะเป็นพระอริยบุคคลโดยที่กำลังเห็น ก็ไม่รู้ว่าเป็นนามเป็นรูป กำลังได้ยิน ก็ไม่รู้ว่าเป็นนามเป็นรูป กำลังได้กลิ่น กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน สติก็ไม่เกิด ไม่ระลึก ไม่รู้ว่าเป็นนามเป็นรูป เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะเว้นไม่ให้มีความรู้เกิดขึ้น หรือว่าพอระลึกแล้ว ก็ยังคงไม่รู้อยู่นั่นเอง ถ้าไม่รู้อย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรม สำหรับผู้ที่รู้ชัด ไม่มีปัญหาเลยว่า ขณะนี้ท่านผู้ใดจะบรรลุอริยสัจธรรม เป็นพระอรหันต์ก็เป็นได้ เป็นพระอนาคามีก็เป็นได้ เป็นพระสกทาคามีก็เป็นได้ เป็นพระโสดาบันก็เป็นได้ หรือจะรู้แจ้ง ถึงความสมบูรณ์ของวิปัสสนาญาณขั้นหนึ่งขั้นใดก็เป็นได้ เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่รู้ชัดในขณะที่สติระลึก และสติก็เป็นอนัตตา จะเกิดขึ้นระลึกเดี๋ยวนี้ก็ได้ ไม่มีการที่จะไปยับยั้ง หรือจะไปห้ามว่า ขณะนี้สติจะระลึกไม่ได้
แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ไม่พึงเป็นผู้ประมาท แม้ในครั้งพุทธกาล เรื่องความประมาทจะไม่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่ว่าผู้ที่ยังไม่ได้เจริญอินทรีย์ หรือผู้ที่ได้เจริญอบรมอินทรีย์มามากแล้ว
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...