ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีล หาเหมือนเช่นนั้นไม่

 
สารธรรม
วันที่  16 ต.ค. 2565
หมายเลข  44756
อ่าน  250

เพื่อให้ข้อความนี้ชัดเจนขึ้นอีก ขอกล่าวถึงสูตรที่ยาวสูตรหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ท่านผู้ฟังเข้าใจข้อนี้ชัดขึ้น

อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ชัปปสูตร มีข้อความว่า

ปริพาชกผู้วัจฉโคตรได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลถามว่า

ได้สดับมาว่า พระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแต่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่คนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ทานที่ให้แก่สาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่

ปริพาชกผู้วัจฉโคตรกราบทูลว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชนเหล่าใดได้กล่าวไว้เช่นนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า พูดตามที่พระโคดมตรัส ไม่พูดตู่ท่านพระโคดมด้วยคำไม่เป็นจริง และชื่อว่าพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม อนึ่ง การคล้อยตามคำพูดที่ชอบธรรมไรๆ ย่อมไม่มาถึงฐานะที่น่าติเตียนแหละหรือ เพราะข้าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะพูดตู่ท่านพระโคดม

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ดูกร วัจฉะ ผู้ใดพูดว่า พระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว... ฯลฯ ...ทานที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง

ดูกร วัจฉะ ผู้ใดแล ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมกระทำอันตรายแก่ วัตถุ ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง วัตถุ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ ย่อมทำอันตรายแก่บุญของทายก ๑ ย่อมทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก คือ ผู้รับ ๑ ตนของบุคคลนั้นย่อมเป็นอันถูกกำจัดและถูกทำลายก่อนทีเดียวแล

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

ดูกร วัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันไป แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำ หรือที่บ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ดังนี้

ดูกร วัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการสาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่า เป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยกล่าวไปใยถึงสัตว์มนุษย์เล่า

ดูกร วัจฉะ อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีล หาเหมือนเช่นนั้นไม่ ทั้งท่านผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ประกอบด้วยองค์ ๕

ละองค์ ๕ เหล่าไหนได้ คือ ละกามฉันทะ ๑ ละพยาบาท ๑ ละถีนะมิทธะ ๑ ละอุทธัจจกุกกุจจะ ๑ ละวิจิกิจฉา ๑ ท่านผู้มีศีลละองค์ ๕ นี้ได้แล้ว

ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน คือ ประกอบด้วยศีลขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ (พระอรหันต์) ๑ ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ประกอบด้วย ปัญญาขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑

ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะขันธ์ที่เป็นของพระอเสกขะ ๑ ท่านผู้มีศีลประกอบด้วยองค์ ๕ นี้ เรากล่าวว่า ทานที่ให้ในท่านที่ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ดังกล่าวมา มีผลมาก

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

โคอุสุภะที่เขาฝึกแล้ว นำธุระไป สมบูรณ์ด้วยกำลัง ประกอบด้วยเชาว์อันดี จะเกิดในสีสรรชนิดใดๆ คือ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว สีด่าง สีตามธรรมชาติของตน สีเหมือนโคธรรมดา หรือสีเหมือนนกพิราบก็ดี ชนทั้งหลายย่อมเทียมมันเข้าในแอก ไม่ต้องใฝ่คำนึงถึงสีสันของมัน ฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว มีวัตรเรียบร้อย ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล พูดแต่คำสัตย์ มีใจประกอบด้วยหิริ ละชาติ และมรณะได้ มีพรหมจรรย์บริบูรณ์ ปลงภาระลงแล้ว พ้นกิเลส ทำกิจเสร็จแล้ว หมดอาสวะ รู้จบธรรมทุกอย่าง ดับสนิทแล้ว เพราะไม่ถือมั่น ย่อมจะเกิดได้ในสัญชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาสัญชาติเหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทขยะมูลฝอย ในเขตที่ปราศจากธุลีนั้นแล ทักษิณาย่อมมีผลมาก

ส่วนคนพาลไม่รู้แจ้ง ทรามปัญญา มิได้สดับตรับฟัง ย่อมพากันให้ทานในภายนอก ไม่เข้าไปหาสัตบุรุษ ก็ศรัทธาของผู้ที่เข้าไปหาสัตบุรุษ ผู้มีปัญญายกย่องกันว่าเป็นปราชญ์ หยั่งรากลงตั้งมั่นในพระสุคตแล้ว เขาเหล่านั้นย่อมพากันไปเทวโลก หรือมิฉะนั้นก็เกิดในสกุลในโลกนี้ บัณฑิตย่อมบรรลุนิพพานได้โดยลำดับ

ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า ผู้ที่มีศรัทธาในพระศาสนา บำเพ็ญบารมีสะสมบุญกุศลมาแล้วจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร แต่ถ้าเจริญสติปัฏฐานจะรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะคนอื่นไม่สามารถรู้ว่าวันหนึ่งสติเกิดมากหรือน้อย ปัญญารู้ชัดในสภาพของนามและรูปที่สติระลึกรู้ แต่การเจริญกุศลช่วยขัดเกลาอกุศลให้ไปสู่การดับสนิทซึ่งอกุศลทั้งปวงได้ จึงควรเจริญกุศลทุกขั้น


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 171


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ