ปัญญา.
ขอบูชาคุณพระรัตนตรัย
สหายธรรมทุกท่านอ้างถึงการมีปัญญา เพื่อจะได้ละความยึดถือตัวตน สัตว์ บุคคล และกิเลสทั้งปวง ให้คิดแต่เพียงว่าทุกอย่างเป็นสภาพธรรมเท่านั้น ซึ่งตามความเข้าใจของตัวเองคิดว่ายากมากค่ะ และอยากจะเรียนถามว่าการอบรมเจริญปัญญานั้น นอกจากการฟังธรรม แล้วคิดพิจารณาใคร่ครวญตามและการขัดเกลากิเลสแล้ว ควรจะมีวิธีใดอีกค่ะที่จะได้สะสมให้มีปัญญา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่ศึกษาพระธรรมใหม่ๆ ค่ะ
ด้วยความขอบคุณอย่างยิ่งค่ะ
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมใหม่หรือเก่าก็ตาม การที่จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องอาศัยการฟัง การศึกษา การสนทนา การสอบถาม การพิจารณาใคร่ครวญ การค่อยๆ ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เท่านั้น ปัญญาจึงจะเจริญขึ้นได้
ขอเชิญอ่านรายละเอียดที่กระทู้นี้ครับ ..
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การเข้าใจว่ายาก เป็นความเข้าใจถูกต้องครับ เพราะพระธรรมเป็นสิ่งที่ยาก แต่ก็ต้องละเอียดว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ การที่สติจะเกิดให้ระลึกว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็เป็นอนัตตา บังคับให้สติเกิดตามใจชอบไม่ได้
เปรียบเหมือน เพิ่งเริ่มปลูกต้นมะม่วง (เพิ่งเริ่มฟัง) จะให้ได้ผลมะม่วง (สติเกิดระลึกว่าทุกอย่างเป็นธรรม) ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะปัญญายังน้อยควรเริ่มเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมเป็นหน้าที่ของธรรม ที่จะทำหน้าที่ให้สติเกิด (รู้ว่าเป็นธรรม) หรือไม่เกิด เมื่อไม่เกิด ก็ไม่เกิดเพราะเป็นธรรม ก็เป็นผู้ตรงว่ายังไม่เกิด เมื่อรู้อย่างนี้ ก็ย่อมเห็นถูกระดับหนึ่ง ก็คือรู้ว่าสติยังไม่เกิด (ดีกว่าเข้าใจผิดว่าเกิดทั้งๆ ที่ไม่เกิด) ดังนั้น คำว่า อบรมปัญญา นั้น สังเกตว่า มีคำว่า อบรม อบรมก็คือ การฟัง นั่นเอง ไม่มีวิธีอื่น ถ้าอยากให้สติเกิด จะถูกโลภะ ความต้องการพาไปอีก
มีคำว่า ปัญญา ปัญญา รู้อะไรก็รู้สภาพธัมมะที่มีในขณะนี้ แต่เราเพิ่งเริ่มฟัง จะให้รู้ว่าเป็นธรรม โดยสติเกิดไม่ได้ แต่ก็ให้รู้เถอะว่า เรากำลังอบรม มีวิธีเดียวคือ ฟังเรื่องสภาพธัมมะที่มีจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ อดทนที่จะฟังและธรรมจะทำหน้าที่ ไม่ใช่เราไปจัดการหรือเลือกครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์ ความเกิดดับ ต้องยอมรับว่าเป็นคนโง่ เพื่อที่จะได้อบรมเจริญปัญญา ที่สามารถที่จะรู้แจ้งในสภาพธรรมะ ซึ่งหาสาระไม่ได้ ทางตาเป็นรูปที่ปรากฏ ทางหูเป็นเสียง ทางจมูกเป็นกลิ่น ฯลฯ สิ่งที่ปรากฏมีจริง แต่ไม่เคยรู้โลภะมีจริง และก็ชิน แต่ไม่เคยรู้ลักษณะของโลภมูลจิต เพราะฉะนั้น ต้องศึกษารู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ค่ะ
สำหรับผู้ที่เข้ามาศึกษาใหม่ ไม่ต้องใจร้อนและหาวิธีอื่นที่จะสะสมปัญญาหรอกนะคะ เพราะว่ามันไม่มีหนทางอื่นนอกจากการฟังพระธรรมเท่านั้น
เริ่มต้นตั้งแต่คำว่า พระธรรมคืออะไรก่อน แล้วจึงค่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปพยายามที่จะรู้อะไรมาก เพราะปัญญาจะไม่เกิดขึ้นด้วยความพยายาม เนื่องจากปัญญาเค้าเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับหรือทำให้เกิดขึ้นตามใจนึกได้
อีกประการหนึ่งต้องเป็นคนที่ตรงต่อตัวเอง ต้องถามตนเองก่อนว่า จะศึกษาธรรมไปเพื่ออะไร ทุกคนที่เข้ามาศึกษาธรรม ย่อมมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป อันนี้สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นเราอาจจะหลงทางได้ค่ะ
ดังนั้น การอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นไปตามขั้นตอน จะไม่มีการก้าวกระโดดโดยเด็ดขาดหากเรายังฟังไม่เข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน ความเข้าใจ (หรือปัญญา) ระดับสูงขึ้นไปนั้น ก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน มาที่เว็บนี้บ่อยๆ ฟังพระธรรมคำสอนบ่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจในสิ่งที่กำลังอ่านอยู่และในสิ่งที่กำลังฟังอยู่ แล้วพิจารณาตามว่าจริงหรือไม่อย่างไร พิสูจน์ด้วยตนเอง ไม่ต้องไปฟังคนอื่น ต้องพิสูจน์ก่อน นั่นถึงจะเป็นการเริ่มต้นการศึกษาที่ดี มีจุดมุ่งหมายที่ดี คือเพื่อความเข้าใจจริงๆ เพื่อการเดินทางที่ถูก เมื่อเดินตามทางที่ถูก ผลที่ตามมาก็จะเป็นปัญญาหรือความเข้าใจที่ถูกจริงๆ ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้จริงๆ หวังว่าหนูคงมีปัญญาเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ และเดินทางที่ถูก
ขอบูชาคุณพระรัตนตรัย
ขอขอบคุณและอนุโมทนากับความคิดเห็นของทุกท่านค่ะ
การกล่าวว่าพระธรรมนั้น "ยากมาก" เป็นการสรรเสริญในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
"สัตว์ที่อายุยืนที่สุดในยุคนี้ อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน ๓๐๐ ปี" เช่น เต่าในรูปนี้ ชื่อว่า แอทเวทยา จากสวนสัตว์แคลคัทต้า ประเทศอินเดีย ตายด้วยภาวะของตับล้มเหลว เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๙ อายุได้ ๒๕๐ ปี
"ชีวิตของมนุษย์ในยุคนี้ อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน ๑๓๐ ปี" เช่น คุณตาท่านนี้ชื่อว่า ชิเกะชิโย อิสุมิ ชาวญี่ปุ่น เสียชีวิตด้วยโรคนิวโมเนีย ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๖ อายุได้ ๑๒๐ ปี กับ ๒๓๗ วัน
"อายุของพระพุทธศาสนาในสมัยนี้ก็ดำเนินมาถึงเพียง ๒๕๕๐ ปี"
"ทั้งหมดนี้ยังน้อยกว่าเสี้ยวหนึ่งของเวลาถึง ๔ อสงขัยแสนกัปป์" เนิ่นนานเพียงใดกว่าที่จะทรงตรัสรู้พระธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตวโลกออกจากวัฏฏะได้
หนทางการอบรมเจริญปัญญาอันประเสริฐนี้ จึงไม่มีหนทางลัดการเพียรหาหนทางลัด เป็นการเพียรหาหนทางหลง ถ้ายังมีเรา ยังมีตัวตน ก็ยังไม่พ้นทุกข์ครับ
ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
จากประสบการณ์ของข้าพเจ้าคือ ต้องไม่ขาดการฟังธรรม (ที่ถูกต้อง) คบหากัลยาณมิตร หมั่นพิจารณาธรรมะที่ได้ฟังแล้ว โดยไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป เหมือนหายใจเข้าออก เมื่อเหตุสมควรแก่ผล ปัญญาจะค่อยๆ เจริญ โดยเริ่มจากขั้นต้น เช่น ศีล และการวิรัติทุจริต เป็นต้น
ขอบูชาคุณพระรัตนตรัย
ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะที่ร่วมเป็นกำลังใจให้กับข้าพเจ้า นับว่าตัวเองมีบุญมากที่ครั้งนั้นได้ไปอินเดียและกลับมาก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตในการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ และได้พบและมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยแนะนำช่วยเหลือเพื่อเพิ่มพูนการศึกษาธรรมที่ถูกต้อง
ด้วยความขอบคุณและอนุโมทนากับความคิดเห็นของทุกท่านค่ะ
นะโม
ตัสสะภควโต (พระกรุณาธิคุณ)
อรหโต (พระบริสุทธิคุณ)
สัมมาสัมพุทธัสสะ (พระปัญญาธิคุณ)
ยินดีด้วยครับที่คุณตุลา เข้าใจหนทางที่ถูกต้อง
ท่านอ.สุจินต์กล่าวเสมอว่า
"ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง แล้วไม่ต้องไปทำอะไรอื่นอีก เพราะความเข้าใจจะเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้สติเกิดระลึกสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อความเข้าใจถึงระดับที่เป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ และต้องไม่ลืมว่าเป็นจิรกาลภาวนา ครับ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 04478 ความคิดเห็นที่ 14 โดย pornchai.s
นะโม
ตัสสะภควโต (พระกรุณาธิคุณ)
อรหโต (พระบริสุทธิคุณ)
สัมมาสัมพุทธัสสะ (พระปัญญาธิคุณ)
ยินดีด้วยครับที่คุณตุลา เข้าใจหนทางที่ถูกต้อง
เพิ่งทราบว่า บทสวดเพียงสั้นๆ นี้ หมายถึงพระคุณทั้งสาม ของพระสัมพุทธเจ้า ผมอยากทราบรายละเอียดอีกว่า มีพระบาลี หรือ อรรถกถาอธิบายไว้อย่างไร (ทำให้นึกถึงนางพราหมณีที่มักอุทานเช่นนั้น ในเวลาที่ตกใจ ช่างเข้าใจเลือกสรร ถ้อยคำอุทานเสียจริง)
ขออนุโมทนาครับ