เป็นขั้นปริยัติหรือว่าขั้นปฏิบัติ
ถ. การพิจารณาก็ดี การวิจารณ์ก็ดี ในแง่ธรรมต่างๆ นั้น กับภาวนามยปัญญาต่างกัน หรือเหมือนกัน
สุ. การวิจารณ์ แล้วแต่ว่าจะเป็นขั้นปริยัติหรือว่าขั้นปฏิบัติ เพราะเหตุว่าถ้าเป็นขั้นปริยัติ ขั้นฟัง ศึกษาเรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของรูป เรื่องของธรรมทั้งหลายที่เป็นอนัตตา แต่ไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เช่น ถ้าท่านศึกษาเรื่องโลภมูลจิต เป็นสภาพความยินดีพอใจ อาศัยเกิดได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีเจตสิกประกอบเกิดร่วมด้วยกี่ดวง ท่านศึกษาอย่างนั้น วิจารณ์เรื่องของโลภมูลจิตว่า เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอย่างไร เกิดขึ้นทางไหน เป็นลักษณะที่ยินดี พอใจ หวัง เพลิดเพลินประการใดบ้าง แต่ไม่ใช่ขณะที่สติระลึก และพิจารณารู้ในสภาพที่ไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นความเพลิดเพลิน เป็นความยินดี เป็นความหวัง หรือเป็นความพอใจ นี่ก็ต่างกันแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องละเอียดขึ้น
วิจารณ์ขั้นปริยัติก็มี แต่ว่าขณะที่สติกำลังระลึก ท่านยังรู้ไม่ชัด เพราะฉะนั้น ก็มีการตรึก หรือว่าการพิจารณาเพื่อที่จะให้ปัญญารู้ในสภาพนั้น นั่นก็เป็นการพิจารณาที่เกิดพร้อมกับสติ แต่ไม่ใช่เป็นการไปนึกยาวๆ เป็นการสำเหนียก สังเกตในลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า สภาพธรรมนั้นเป็นลักษณะของนามธรรม หรือว่าเป็นลักษณะของรูปธรรมเพื่อความรู้ชัด แต่ต้องเข้าใจความต่างกันของขั้นปริยัติ กับขณะที่สติกำลังระลึก แต่ยังรู้ไม่ชัด
เพราะฉะนั้น การสำเหนียก การสังเกต คือ การพิจารณาว่า สภาพธรรมลักษณะนั้นเป็นลักษณะนามธรรมหรือว่าเป็นลักษณะรูปธรรม
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...