ทำไมการอบรมเจริญสติปัฏฐานจึงมีมรรค ๕ องค์

 
ทรงศักดิ์
วันที่  27 ต.ค. 2565
หมายเลข  44888
อ่าน  444

การอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือปัญญามีอินทริยสังวรศีลเกิดร่วมด้วยแต่ทำไมจึงไม่นับเป็นมรรคครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 27 ต.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามความเป็นจริงแล้ว ขณะที่สติปัฏฐานเกิด เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เป็นการสำรวมระวังปิดกั้นอกุศล ด้วยสติและปัญญา สติปัฏฐานก็เป็นอินทริยสังวร คือ ระวัง ปิดกั้นอกุศลที่จะเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจด้วย ซึ่งในขณะนั้น มีองค์มรรค เกิดร่วมด้วย ไม่ใช่ว่าไม่มี ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ไม่ปราศจากธรรมที่เป็นองค์มรรคเลย กล่าวคือ มรรคมีองค์ ๕ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ และถ้าในขณะนั้น มีการวิรัติงดเว้นจากทุจริตกรรมด้วย ก็มีองค์มรรคที่เป็นวิรตีเจตสิก ดวงหนึ่งดวงใด เกิดร่วมด้วย (เพราะในขณะที่เป็นโลกิยะ วิรตีทั้ง ๓ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ จะไม่เกิดพร้อมกัน) รวมเป็นมรรคมีองค์ ๖ นี้คือ ความเป็นไปของธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ในขณะที่สติปัฏฐานเกิด จะไม่มีปัญญา (สัมมาทิฏฐิ) ได้อย่างไร ก็ต้องมีปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างถูกต้อง ในขณะนั้น ก็มีสติ คือ สัมมาสติ ซึ่งเป็นสภาพที่ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และ มีวิตักกเจตสิก ที่ตรึกหรือจรดในสิ่งที่กำลังปรากฏ (สัมมาสังกัปปะ) มีความเพียรโดยชอบที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ (สัมมาวายามะ) และ ต้องมีเอกัคคตาเจตสิก ที่ตั้งมั่นโดยชอบในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ (สัมมาสมาธิ) ด้วย ดังนั้น ขณะที่สติปัฏฐานเกิด จึงไม่ปราศจากมรรคมีองค์ ๕

กว่าจะถึงสติปัฏฐาน ก็ต้องมีการฟัง มีการศึกษา เข้าใจเรื่องของธรรมที่มีจริงๆ ในขณะ ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

ขอเชิญอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

เพิ่มเติม ดังนี้

คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้

เพราะเหตุใดจึงกล่าวถึงมรรคมีองค์ ๘ และ มรรคมีองค์ ๕

ถ้าเป็นโลกียมรรค คือ วิรตีเจตสิก ๓ บางขณะไม่เกิด เพราะฉะนั้น จึงมีแต่สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑

สำหรับวิรตีเจตสิก ๓ คือ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ เกิดไม่ครบทั้ง ๓ พร้อมกันในขณะจิตเดียว ต้องเกิดเพียงวิรตีหนึ่งวิรตีใดในวิรตี ๓ คือ ขณะใดที่สัมมาวาจาเกิด ขณะนั้นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะไม่เกิด ขณะใดที่สัมมากัมมันตะเกิด ขณะนั้นสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะไม่เกิด ขณะใดที่สัมมาอาชีวะเกิด ขณะนั้นสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะก็ไม่เกิด

ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานจึงรู้ว่า ตามปกติที่เป็นโลกียมรรค โดยทั่วไปเวลาที่วิรตีเจตสิกไม่เกิด จะประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๕ เท่านั้น

สำหรับมรรคมีองค์ ๘ ย่อมมีได้ในโลกุตตรมรรค ที่ประกอบด้วยปฐมฌาน แต่ถ้าเป็นการรู้แจ้งอริยสัจธรรม พร้อมด้วยองค์ฌานขั้นต่างๆ ได้แก่ ส่วนในมรรค ที่ประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้นไป ย่อมมีองค์ ๗ เท่านั้น เว้นสัมมาสังกัปปะ คือ เว้นวิตกเจตสิก

เป็นเรื่องที่ยังไม่ถึง แต่ควรที่จะทราบว่า เหตุผลที่แสดงมรรคมีองค์ ๕ เพราะโดยปกติแล้วถ้าวิรตีเจตสิกไม่เกิด มรรคมีองค์ ๘ จะเกิดเพียง ๕ องค์เท่านั้น



...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ....

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ต.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
sanit99141@gmail.com
วันที่ 28 ต.ค. 2565

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 28 ต.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

ผมยังสงสัยดังนี้ครับ

๑. มรรคจิต มีองค์มรรค๘มีวิรตีเจตสิกครบ๓ได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีวัตถุที่พึงเว้นเฉพาะหน้า

๒. การอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุมรรคก็สืบเนื่องมาจากการเจริญสติปัฏฐานซึ่งก็เป็นอธิศีลสิกขา ดังนั้นสติปัฏฐานก็น่าจะนับวิรตีเจตสิก๓เป็นองค์มรรคด้วย แต่ยังไม่สมบูรณ์จนดับกิเลสได้เป็นสมุทเฉท

๓. ที่กล่าวว่าขณะที่สติปัฏฐานเกิดแล้ว มีการวิรัตงดเว้นทุจริตเกิดขึ้นจะมีวิรตีเจตสิกดวงใดดวงหนึ่งร่วมด้วยรวมเป็นองค์มรรค๖ อยากทราบว่าในขณะนั้นสติปัฏฐานที่เกิดระลึกรู้สภาพวิรตีเจตสิกเป็นอารมณ์หรือว่าวิรตีเจตสิกเกิดพร้อมกับสติที่ระลึกรู้อกุศลขณะนั้นครับ

ขอเรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมครับ ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 28 ต.ค. 2565

เรียนความคิดเห็นที่ ๔ ครับ
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง ก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็นทีละน้อยจริงๆ

๑. มรรคจิต มีองค์มรรค๘มีวิรตีเจตสิกครบ๓ได้อย่างไรทั้งที่ไม่มีวัตถุที่พึงเว้นเฉพาะหน้า

๑. ในขณะที่เป็นมรรคจิต นั้น มรรค ทั้ง ๘ องค์ เกิดพร้อมกัน ทำกิจประหารกิเลสตามลำดับมรรค วีรตีทั้ง ๓ จึงเกิดพร้อมกัน โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ งดเว้นจากอกุศลได้เด็ดขาด อกุศลที่ดับได้แล้ว จะไม่เกิดอีก



๒. การอบรมเจริญปัญญาจนบรรลุมรรคก็สืบเนื่องมาจากการเจริญสติปัฏฐานซึ่งก็เป็นอธิศีลสิกขา ดังนั้นสติปัฏฐานก็น่าจะนับวิรตีเจตสิก๓เป็นองค์มรรคด้วย แต่ยังไม่สมบูรณ์จนดับกิเลสได้เป็นสมุทเฉท

๒. ความจริงเป็นความจริง ถ้าวิริตี ไม่เกิด ก็คือ ไม่เกิด เพราะไม่มีสิ่งที่จะงดเว้น แต้ถ้าเกิดก็เกิดเพียงดวงหนึ่งดวงใด ในขณะที่เป็นโลกิยะ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด เป็นอธิศีล เป็นศีลที่ยิ่ง เพราะมีการสำรวมระวังปิดกั้น ไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ในขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือ อินทริยสังวร นั่นเอง เป็นอธิศีล ถ้ามีวิรตีเกิดด้วย วิรตีก็ทำหน้าที่ของตน ก็เป็นส่วนของศีล นั่นเอง ซึ่งจะสมบูรณ์ เว้นได้เด็ดขาดเมื่อถึงโลกุตตระ ครับ



๓. ที่กล่าวว่าขณะที่สติปัฏฐานเกิดแล้ว มีการวิรัตงดเว้นทุจริตเกิดขึ้นจะมีวิรตีเจตสิกดวงใดดวงหนึ่งร่วมด้วยรวมเป็นองค์มรรค๖ อยากทราบว่าในขณะนั้นสติปัฏฐานที่เกิดระลึกรู้สภาพวิรตีเจตสิกเป็นอารมณ์หรือว่าวิรตีเจตสิกเกิดพร้อมกับสติที่ระลึกรู้อกุศลขณะนั้นครับ

๓. วิรตีเจตสิกที่เกิดพร้อมกับสติ ก็รู้อารมณ์เดียวกันในขณะนั้น แต่ทำกิจหน้าที่ต่างกันตามหน้าที่ตน ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 28 ต.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ต.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ