สงสัยว่าการเกิดของวจีวิญญัติรูป ที่ทำให้เกิดการเปล่งเสียงพูด
เป็นรูปที่เกิดกับวิถีจิตขณะไหน? โดยความละเอียดแล้วเกิดกับจิตใดทั้งในวิถีจิตทางปัญจทวารวิถี หรือ มโนทวารวิถีจิต ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร มีจริง เกิดขึ้นจากสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ธรรมเป็นจิรงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
วิญญัติรูป เป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง วจีวิญญัติรูป เป็นรูปที่แสดงให้รู้ด้วยวาจา, ประกาศให้รู้ด้วยวาจา หมายถึง อาการพิเศษที่ทำให้รู้ความหมายได้ด้วยคำพูด เป็นอาการของสภาวรูป ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น ก็ย่อมจะไม่มีวจีวิญญัติรูป แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของสภาพธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น จิต ที่ทำให้เกิดวจีวิญญัติรูป มีหลายประเภท รวมถึงกุศลจิต และ อกุศลจิต ด้วย ครับ
เรื่องนี้ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ขอเชิญอ่านทบทวนจากคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงเกิดขึ้นเพราะการกระทบกัน และก็ดับไปที่ปสาทรูป นั้นๆ มีกำลังที่อ่อนมาก ไม่สามารถทำให้จิตตชรูปเกิดได้เลย เมื่อทวิปัญจวิญญาณ จะเป็นทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกรู้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้โผฏฐัพพะดับไปแล้ว จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นต่อก่อนที่จะรู้เรื่องรู้ราว หรือว่าก่อนที่จะเกิดการชอบไม่ชอบในสิ่งที่เห็น วิถีจิตจะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสืบต่อทำกิจต่างๆ กัน
เมื่อทวิปัญจวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนะเป็นจิตที่ทำกิจรับรู้อารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณเกิดขึ้น สัมปฏิจฉันนจิตไม่ใช่ทวิปัญจวิญญาณ เพราะฉะนั้นสัมปฏิจฉันนจิตมีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ แต่ว่าจิตตชรูปที่เกิดพร้อมกับ สัมปฏิจฉันนจิตนั้นไม่ทำให้เกิดเคลื่อนไหวเป็นอิริยาบถ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว จิตขณะต่อไปพิจารณาอารมณ์นั้นต่อจากสัมปฏิจฉันนะ
จิตที่ทำกิจพิจารณาอารมณ์นั้นต่อชื่อว่า สันตีรณจิต จิตดวงนี้มีจิตตชรูปเกิดในอุปาทขณะ แต่ว่าโดยนัยเดียวกัน คือ ไม่ทำให้เกิดอิริยาบถ หรือวิญญัติรูปเลย
นี่เป็นวิถีของจิตที่เกิดสืบต่อกัน เมื่อเป็นจิตประเภทวิบาก เช่น ทวิปัญจ-วิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ หรือแม้ภวังคจิต ปฏิสนธิจิต ก็ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้เคลื่อนไหวอิริยาบถ หรือวิญญัติได้
เมื่อสันตีรณจิตดับไปแล้ว จิตดวงต่อไป คือ โวฏฐัพพนจิต หรือมโนทวาราวัชชนจิต ทำกิจมนสิการ แล้วแต่การสะสมของจิต ถ้าเป็นคนที่สะสมทางฝ่ายกุศลมากเวลาเห็น เวลาได้ยิน เวลาได้กลิ่น เวลาลิ้มรส เวลารู้โผฏฐัพพะ ถึงแม้ว่าอารมณ์นั้นจะไม่ใช่อารมณ์ที่ประณีต แต่กุศลจิตก็เกิดได้
สำหรับมโนทวาราวัชชนจิต สามารถเป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถและวิญญัติรูปได้ ซึ่งเริ่มตรงนี้ที่ว่าจะเป็นปัจจัยให้เกิดอิริยาบถหรือวิญญัติรูป แต่ที่อิริยาบถจะเคลื่อนไหวเกิดขึ้นได้จริง หรือวิญญัติรูปจะเกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องถึงชวนจิต คือ จิตที่เกิดต่อจากมโนทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็นอกุศลจิต ๑๒ ดวง หรือมหากุศลจิต ๘ ดวง สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เวลาที่มีการเห็น มีการได้ยินแล้ว ย่อมจะเป็นกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง
ขณะที่จิตเป็นกุศล ไม่ได้เกิดขึ้นขณะเดียวเหมือนอย่างจักขุวิญญาณ หรือ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ จิตที่เป็นกุศลจะทำชวนกิจ แล่นไปในอารมณ์นั้นถึง ๗ ขณะ ด้วยกุศลจิตบ้าง อกุศลจิตบ้าง ทำให้เกิดอิริยาบถและวิญญัติได้ เป็นจิตตชรูป การที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดเกิดความชอบใจขึ้น และมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดจากจิตสามารถไหวไป เปลี่ยนไปเป็นอิริยาบถหรือวิญญัติรูปได้ ไม่ใช่มีใครสั่ง แต่ว่าเป็นด้วยกำลังความปรารถนาซึ่งเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...