เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้วจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา จะยกอย่างไร (190)
ถ . เรื่องที่รู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานๆ เท่าที่อาจารย์อธิบายมาก็พอเข้าใจ สติก็ระลึกที่ลมเรื่อยๆ ไปโดยไม่ใส่ใจสิ่งอื่น มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้แต่ไม่รู้ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นผู้มีสติหรือเปล่า มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้แต่ไม่ยอมรู้ เวทนาปรากฏแล้วแต่ทำไมจึงไม่รู้ รู้ด้วยว่าคัน ทำไมจึงไม่มีสติรู้ ไปรู้ที่ลมอย่างเดียว คล้ายๆ กับเป็นการจดจ้อง
สุ . บางท่านเจริญสมาธิมาก่อน และไม่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้น ก็คิดหรือเข้าใจว่าจะเอาสมาธิเป็นบาท พอสมาธิแก่กล้าแล้วก็จะยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นเป็นตัวตนหรือเปล่า ไม่ได้เคยอบรมการเจริญสติปัฏฐานจนชำนาญจนคล่องแคล่วเลย คิดแต่เพียงว่า เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้วจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ที่คิดว่าจะยกนั้นต้องเป็นตัวตน จะยกได้อย่างไรในเมื่อสติเป็นอนัตตา
และที่ฝึกอบรมมาจนกระทั่งชำนาญเป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิแล้ว ที่จะให้ระลึกรู้ว่าเป็นนามธรรมเท่านั้น เป็นเรื่องยากถ้าไม่ได้เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติมาก่อน สติระลึกไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เคยเจริญอบรมสมถภาวนามาก่อน เมื่อเข้าใจการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ต้องเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติจนกระทั่งชำนาญจริงๆ
ที่เรียกว่าชำนาญ คือ รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั้ง ๖ ทาง จึงสามารถที่จะไม่มีเยื่อใยตัวตนได้ เพราะฉะนั้น ถ้าในขณะนั้นเกิดคันขึ้นมา จะหวั่นไหวไหมสำหรับผู้ที่รู้แล้ว แต่สำหรับผู้ที่เจาะจงจะเอาสมาธิเป็นบาทของการเจริญวิปัสสนา และไม่เคยเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ไม่เคยรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทั่วทั้ง ๖ ทางเลย ก็ผิดกันแล้วใช่ไหม
สติจะระลึกรู้ที่รูปลมที่กำลังกระทบ ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล สติจะระลึกที่นามใดรูปใด มากหรือน้อย ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น ให้ระลึกอย่างนั้น ให้รู้อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่รู้จริงๆ ก็หวั่นไหวแล้ว จะมีตัวตนที่คอยจะทำจะต้องทำอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น การละกิเลสนั้นละยาก เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เป็นเรื่องที่ผู้เจริญสติจะต้องสำเหนียก สังเกต และรู้ว่าที่จะละนี้เพราะรู้จริงๆ หรือเปล่า หรือยังไม่ทันจะรู้ ก็มีตัวตนที่จะไปละ แต่ก็ละไม่สำเร็จ ซึ่งการที่จะละทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นสมุจเฉทจริงๆ ต้องเพราะความรู้ชัดและละเอียดจริงๆ เท่านั้น
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...