Thai-Hindi 5 November 2022
Thai-Hindi 5 November 2022
- (คุณอาคิ่ลถามเรื่อง วิปัสสนาญาณ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Insight Knowledge มีความละเอียดอย่างไร)
- เพราะฉะนั้นอย่าลืม ฟังทุกคำไม่ใช่ผ่านไปทุกคำแต่ต้องไตร่ตรองตั้งแต่ต้นให้มั่นคง มิฉะนั้นไม่สามารถเข้าใจธรรมเลย ก่อนอื่นถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยจะได้ยินคำว่า วิปัสสนา ไหม
- ได้ยินคำไหนไม่ใช่ว่าเข้าใจทันทีแต่ต้องพิจารณาไตร่ตรองจนเข้าใจความหมายจริงๆ ของแต่ละคำ
- ได้ยินคำว่ารู้แจ้ง ประจักษ์แจ้ง ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ชัด เข้าใจไหมว่า รู้แจ้งอะไร ประจักษ์แจ้งอะไร (รู้แจ้งรู้ชัดสิ่งที่ปรากฏตอนนี้)
- เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจว่ารู้แจ้งรู้ชัด ไม่ใช่รู้ความจริงชัดแจ้งของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เขาคิดว่าถูกไหม
- เพราฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริงชัดเจนของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นปัญญาระดับใดที่สามารถที่จะรู้แจ้งความจริงถึงที่สุดทั้งหมดตั้งแต่เริ่มรู้แจ้งเป็นขั้นๆ นั่นคือ วิปัสสนา
- คนที่อ่านคำว่า วิปัสสนา รู้ไหมว่า วิปัสสนาเริ่มต้นจากความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก่อนจะรู้แจ้ง
- รู้แจ้งตั้งแต่เริ่มว่า ขณะนี้มีจริงๆ เริ่มรู้ทีละเล็กทีละน้อย ยังไม่แจ้งชัดว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เป็นแต่ละหนึ่งที่ปรากฏในชีวิตจริงๆ
- เพราะฉะนั้นรู้แจ้งสิ่งที่อื่นที่ไม่ใช่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นวิปัสสนารึเปล่า
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มี ความรู้แจ้งความจริงนั้นจึงเป็นวิปัสสนา
- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นรึเปล่า ถ้าประจักษ์แจ้งความจริงของเห็นขณะนี้ เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป
- สิ่งที่ปรากฏทางตา รู้แจ้งความจริงคือ สิ่งนั้นกระทบตาปรากฏแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย
- ถัารู้แจ้งความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ที่เกิดดับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเกิดดับ ทุกอย่างที่ปรากฏเกิดดับ นั่นเป็นการประจักษ์แจ้งความจริงเป็นวิปัสสนา
- เพราะฉะนั้นเป็นคนที่ตรง เดี๋ยวนี้เป็นวิปัสสนารึเปล่า
- ถ้ารู้แจ้งความจริง เห็นเกิดแล้วดับ จะเป็นเราเห็นอย่างที่กำลังคิด กำลังจำว่าเป็นเราที่เห็นได้ไหม
- ถ้าเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เห็นคน ผิดหรือถูก เพราะฉะนั้นเห็นถูก เห็นอย่างไร
- กำลังคิด เป็นเราคิด ผิดหรือถูก (หลังจากได้ฟังคำสอนเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เราที่คิด)
- เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดคิดแล้วก็ดับไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น
- ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งความจริงว่า เห็นเมื่อกี้ ได้ยินเมื่อกี้นี้ คิดเมื่อกี้นี้ดับหมดไม่เหลือเลย ยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งความจริง ไม่ใช่วิปัสสนา
- เพราะฉะนั้น วิปัสสนาไม่ใช่เพียงคำพูดแต่หมายความถึงความรู้จริงๆ ที่ประจักษ์ความจริงของสิ่งที่เกิดดับ
- พระพุทธเจ้ามีวิปัสสนารึเปล่า ถ้าพระองค์ไม่มีวิปัสสนาพระองค์จะสอนเรื่องการประจักษ์แจ้งที่เป็นวิปัสสนาได้ไหม
- เพราะฉะนั้นพระองค์สอนให้รู้ความจริงตามลำดับจนประจักษ์แจ้งความจริงที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
- เพราะฉะนั้นต้องฟังคำจริงที่พระองค์ได้ตรัสด้วยความเคารพ ด้วยความเข้าใจความลึกซึ้งจึงเป็นลาภที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ที่สามารถที่จะเข้าใจความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
- เพราะฉะนั้นต้องเคารพสูงสุดในทุกคำ ไม่ใช่ฟังแล้วเข้าใจได้ในทั้งหมดแต่เริ่มค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีทีละหนึ่ง
- ถ้าไม่เข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ตรัสว่า ละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
- สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใครและไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น
- สิ่งที่เกิดแล้วในสังสารวัฏฏ์ตลอดทุกขณะมา อยู่ไหน เป็นใครหรือเป็นของใครรึเปล่า หรือหมดแล้วไม่เหลือเลย
- เข้าใจความจริงว่า ลึกซึ้งมากแต่สามารถเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยได้
- ต้องเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่เกิดมีทุกขณะ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยไม่ใช่ของใครเลยและไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย เป็นแต่เพียงลักษณะที่มีจริงแต่ละอย่างที่ปรากฏให้รู้ว่ามี
- ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงตั้งแต่ขั้นต้นจะเป็นการประจักษ์แจ้งเป็นวิปัสสนาได้ไหม
- เพราะฉะนั้นใครทำวิปัสสนาได้ (ไม่มีใครทำได้) ถูกต้อง ต้องไม่ลืมแต่ความเข้าใจต้องมีตามลำดับปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ทุกคนได้ยิน ๓ คำนี้เข้าใจว่าอย่างไร (เข้าใจว่า ปริยัติคือเริ่มต้นเป็นขั้นที่เล็กน้อยมาก ปฏิปัตติคือลงมือทำ ปฏิเวธคือรู้ตรงลักษณะ) ผิดไหม ผิดหรือถูก
- ให้เขาทราบว่า ผิดเพราะไม่ละเอียด ไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าใจแต่ละคำว่า ปริยัติ คืออะไร
- ถ้าถามเขาหรือมีคนบอกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง เป็นปริยัติรึยัง
- เพราะฉะนั้นเริ่มเป็นปริยัติเมื่อไหร่ ไม่ใช่เป็นปริยัติแล้วนะคะแต่เริ่มเป็นปริยัติเมื่อไหร่ (เมื่อได้ยินแล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริง) เข้าใจว่าอย่างไร ได้ยินแล้วเข้าใจสิ่งที่มีจริงแค่นี้เป็นปริยัติหรือ
- ต้องเป็นคนตรง ถ้าไม่ตรงไม่สามารถจะรู้ความจริงที่ลึกซึ้งได้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ได้ยินคำ ๒-๓ คำเป็นปริยัติรึยัง (ยัง) เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมาย ปริยัติ รอบรู้หมายความว่าไม่เข้าใจผิดสักนิดเดียวในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส
- เป็นคำของคุณสุคินหรือเป็นคำของคุณอาคิ่ล เพราะฉะนั้นเราต้องการให้เขาเข้าใจ เราค่อยๆ ถามให้เขาคิดและเขาค่อยๆ เข้าใจ เขาฟังคำของคนอื่นเขาไม่ได้คิดเขาเพียงฟังแต่ไม่ได้เข้าใจ
- ต้องให้เวลาเขาคิดไตร่ตรองจนกระทั่งค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ รู้เพิ่มจนกว่าจะรอบรู้
- เพราะฉะนั้นทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วและมีการจารึกไว้เป็นตัวหนังสือต่างๆ เป็นพระไตรปิฎก เขาสามารถที่จะเริ่มเข้าใจแต่ละคำที่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้รึเปล่า
- ถ้าไม่รู้ว่า คำที่พระองค์ตรัสเพื่อให้รู้ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นไม่ใช่ปริยัติ
- เพราะฉะนั้นจะเป็นปริยัติต่อเมื่อเข้าใจถูกต้องว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทั้งหมดแต่ละขณะจิตทุกอย่าง นั่นคือรู้จักว่าปริยัติคืออะไร
- พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องความโกรธรึเปล่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องความโกรธ เพื่ออะไรเมื่อไหร่ที่จะรู้จักความโกรธ
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ต้องรู้ว่า ปริยัติคือคำสอนที่จะทำให้รู้ความจริงของทุกอย่างที่มีในชีวิตแม้แต่ความโกรธขณะนั้นก็เริ่มจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วดับไป
- เวลานี้ไม่โกรธ เขารู้จักโกรธว่าไม่ใช่เราเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แต่เวลาโกรธจริงๆ รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น กำลังโกรธขณะนั้นรู้ไหมว่า ไม่ใช่เขาโกรธ
- เพราะฉะนั้นขณะนี้รู้ว่า ความโกรธไม่ใช่เรา แต่เวลาโกรธเกิดขึ้นไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะนี้รู้ว่า ความโกรธมีจริงเป็นธรรมอย่างหนึ่งนั่นเป็นปริยัติ แต่ไม่รู้ในขณะที่กำลังโกรธว่า ไม่ใช่เราจึงไม่ใช่ปฏิบัติ ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้ไม่ใช่ปริยัติ
- จิตมีกี่ประเภท (มี ๘๙) เดี๋ยวนี้เป็นจิตอะไร (จิตเห็นเป็น ๑ ใน ๘๙) ขณะนี้ไม่ได้รู้ไม่ได้เข้าใจเห็นใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นถ้าลืม จำชื่อได้แต่ลืมว่า ไม่ใช่เราในขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นก็เป็นปริยัติที่เข้าใจแต่ไม่ใช่ปฏิปัตติ ไม่ใช่วิปัสสนา เดี๋ยวนี้เป็นวิปัสสนารึยัง (ยัง)
- และกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ รู้ตรงเห็น ความจริงของเห็นคืออะไร รึยัง เพราะฉะนั้นความเข้าใจมีหลายระดับรึเปล่า (หลายระดับ) ความเข้าใจเป็นธรรมรึเปล่า (เป็น) เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก (เจตสิก)
- นี่เริ่มจะเป็นปริยัติแต่ไม่ใช่ปฏิบัติเพราะเหตุว่า ต้องเป็นความรู้มากกว่านี้และมั่นคงกว่านี้
- ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้จริงๆ จะเป็นปฏิบัติได้ไหม (ไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นจะรู้ลักษณะเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงละเอียดมาก ไม่ใช่มีแต่จิตและเจตสิกที่เป็นความเข้าใจแต่ยังมีสภาพธรรมอื่นอีกที่จะทำให้เข้าใจขึ้น
- เพราะฉะนั้นความเข้าใจเพิ่มขึ้นคือสามารถที่จะตอบได้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง
- เพราะได้ฟังเรื่องจิต เจตสิก รูปบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจะตอบได้ไหมว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้าง (เริ่มตอบได้ว่ามี จิต เจตสิก รูป)
- ตอบเลยค่ะ เดี๋ยวนี้มีอะไรบ้างไม่ใช่ตอบแต่เพียงว่ามี จิต เจตสิก รูป แสดงว่านั่นไม่รู้ว่ามี จิตอะไรเจตสิกอะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เท่าที่เรียนมาแล้ว ฟังมาแล้วรู้ว่า จิตต่างๆ กัน เจตสิกต่างๆ กัน รูปก็ต่างๆ กันจึงไม่ใช่เราหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พอจะตอบได้ไหมว่า มีอะไรบ้างเดี๋ยวนี้ (มีเห็น มีได้ยิน)
- นี่เป็นปริยัติรอบรู้รึยัง (เป็นปริยัติ) รู้แค่นี้หรือเป็นปริยัติ รู้เท่านี้ที่ตอบอย่างนี้เป็นปริยัติหรือ (เป็น) พอแล้วใช่ไหม
- ถามเขา ๔๕ ปีพระพุทธเจ้าสอนเท่านี้หรือ (สอนให้เข้าใจ) เท่านี้ไม่กี่คำแค่นี้ จิต เจตสิก รูป เห็นได้ยิน เท่านี้หรือ (สอนมากกว่านี้)
- ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมากกว่านี้มาก (สอนหลายนัยเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน อุปนิสัยต่างๆ กัน)
- เพราะอะไรต้องสอนมากอย่างนี้ คุณอาช่าได้ยินว่า จิต เจตสิก รูป ได้ยินแค่นี้พอไหม (ไม่พอ) เพราะฉะนั้นเป็นปริยัติรึยังเท่านี้เอง (ยัง) เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นปริยัติรึยังแค่นี้
- อย่างนี้ไม่มีประโยชน์เลย ไม่ต้องยกคำไหนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แต่ให้เขาเริ่มรู้ความลึกซึ้งอันนี้สำคัญที่สุด ไม่ใช่ไปให้เค้าจำแล้วมาเทียบเคียงแล้วคิดอันนั้นไม่ลึกซึ้ง แต่นี่กำลังจะให้รู้ความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมละเอียดยิ่งจึงจะเป็นปริยัติ มันลึกซึ้งกว่าที่เราจะเพียงจำและพูดถึง
- เพราะว่าถึงเราจะพูดชื่อต่างๆ ก็เหมือนทุกคนที่อ่านชื่อต่างๆ ไม่สามารถที่จะรู้ความลึกซึ้งได้ ต้องให้เขาเข้าใจความหมายของความลึกซึ้งแต่ละคำ
- เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงคำอื่นสักคำเดียว เพียงแค่คำว่า ปริยัติ เท่านั้นให้เข้าใจจริงๆ ว่าหมายความว่าอะไร มิฉะนั้นก็ไม่เข้าใจในความลึกซึ้ง แล้วก็เมื่อผิดและไม่รู้ความลึกซึ้งก็ผิดต่อไปเมื่อได้ยินคำไหนก็ไม่ลึกซึ้งไปหมด
- เหมือนที่เขาได้ยินคนอื่นพูดคำว่า วิปัสสนาแต่เขาไม่รู้ความลึกซึ้งของแม้ปริยัติยังไม่ต้องไปถึงวิปัสสนา
- ถ้าเพียงบอกว่า เป็นความรู้ต่างขั้น พอไหมที่จะเข้าใจว่า ปริยัติลึกซึ้งอย่างไร ปฏิบัติลึกซึ้งอย่างไรปฏิเวธลึกซึ้งยิ่งกว่าอย่างอื่นอย่างไรจึงจะเป็นวิปัสสนา
- ถ้าจำได้ จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ รูปเท่าไหร่ เป็นปริยัติอย่างนั้นหรือ
- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ใช่เข้าใจความลึกซึ้งของแต่ละคำที่พระองค์ตรัสจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
- ธรรมอยู่ไหน ใกล้หรือไกลที่สุด มีอะไรอยู่ใกล้เท่าธรรมไหม ธรรมอยู่ใกล้ที่สุดใช่ไหม อยู่ใกล้ที่สุดแต่ยังไม่รู้จักธรรมใช่ไหม เริ่มเห็นความลึกซึ้งไหม
- คนที่ฟังเผินๆ คิดว่าเข้าใจแล้ว ธรรมลึกซึ้ง แต่คนที่ไตร่ตรองลึกซึ้งอย่างยิ่ง กำลังมีเดี๋ยวนี้ใกล้ที่สุดก็ยังไม่รู้เพราะลึกซึ้ง เข้าใจอย่างนี้เป็นปริยัติรึเปล่า (ไม่เป็น)
- แต่ต่างกับที่จำได้ว่า เห็นกำลังเห็นใช่ไหม เพราะความจริงแล้วเห็นอยู่ใกล้ที่สุดแต่ไม่รู้จักเห็นที่อยู่ใกล้ที่สุด นั่นเริ่มเห็นความลึกซึ้ง การเห็นความลึกซึ้งเป็นปริยัติไหม เมื่อเริ่มเห็นความลึกซึ้งก็จะศึกษาทุกคำให้ลึกซึ้งและเข้าใจนั่นเป็นปริยัติ
- ต่างกับขณะที่ฟังแล้วจำได้ว่า จิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ เท่านั้นใช่ไหม
- ได้ยินคำว่า จิต ถ้าไม่พิจารณาไตร่ตรองจะลึกซึ้งไหม เพราะเดี๋ยวนี้มีจิต จำได้ว่าเป็นจิตเท่านั้น ไม่ลึกซึ้งเลย
- แต่ถ้าเริ่มไตร่ตรองตั้งแต่ขณะเกิด ถ้าไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นรู้จะเป็นสภาพธรรมที่มีชีวิตไหม
- เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่า จิตเป็นธาตุรู้ ต้องรู้ เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
- ลึกซึ้งไหมเพียงคำว่า ธาตุรู้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีอะไรอื่นเลยที่จะปรากฏอย่างทวารทั้ง ๕แต่ว่าเกิดขึ้นรู้เดี๋ยวนี้กำลังรู้
- เดี๋ยวนี้มีจิตแต่ไม่รู้จักจิตจึงต้องเร่ิมเข้าใจความจริงที่จิตไม่ใช่เรา จิตเป็นธาตุรู้ไม่ว่ารู้เกิดที่ไหน เมื่อไหร่ สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ นั่นคือธรรมที่เป็นจิต มีจิตทุกวันตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะไม่ขาดจิตเลยก็ไม่รู้ ลึกซึ้งไหม
- เริ่มรู้จักจิตรู้ว่าเป็นจิตไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์เพราะก่อนฟังไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า เป็นส่ิงที่เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไม่ใช่เรา
- ไม่ใช่ได้ยินคำว่า จิต จำว่าจิตแต่ไม่รู้ความลึกซึ้งของจิตซึ่งขณะนี้มีแต่ลึกซึ้งจึงไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นจิตไม่ใช่เรา
- เริ่มรู้ความลึกซึ้ง เริ่มศึกษาทุกคำเพื่อที่จะเข้าใจความลึกซึ้งนั่นคือ ปริยัติ
- มีเราหรือมีจิต มีนกหรือมีจิต มีแมวหรือมีจิต มีเทวดาหรือมีจิต มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือมีจิต เริ่มรู้จักจิตขึ้นใช่ไหม
- เริ่มมั่นคงในความไม่ใช่เรา ไม่ว่าขณะไหนทั้งหมดเป็นจิตที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดตลอดชีวิต
- โกรธเป็นจิตรึเปล่า ทุกคนเข้าใจอย่างนี้รึเปล่าว่า โกรธไม่ใช่จิต ทำไมโกรธไม่ใช่จิต
- จิต คือ ธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้เท่านั้น เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏที่จิตรู้
- กำลังโกรธมีจิตไหม แสดงให้เห็นว่า นี่คือ ปริยัติ รู้จัสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงแม้ในขณะที่โกรธไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิตไม่ใช่โกรธ
- ถ้าเพียงอ่านหนังสือแล้วก็จำ จะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เองกำลังเห็นไม่ใช่ความโกรธ
- โกรธเกิดโดยไม่มีจิตได้ไหม (ไม่ได้) ไม่ได้แต่ความโกรธไม่ใช่จิต แต่ความโกรธเกิดกับจิตเพราะจิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นความโกรธเกิดกับจิตที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ
- ถ้าจิตไม่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ โกรธเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตรู้แจ้งสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ความโกรธที่เกิดพร้อมจิตที่รู้สิ่งนั้นก็ไม่ชอบ เกิดขึ้นไม่ชอบสิ่งนั้น
- เจตสิกเกิดโดยไม่มีจิตไม่ได้ จิตก็เกิดโดยไม่มีเจตสิกไม่ได้ แต่เรายังไม่สามารถจะรู้จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ลึกซึ้งไหม ถ้าจำแต่ชื่อ ลึกซึ้งไหม
- เมื่อไม่รู้ความลึกซึ้งจึงไม่ใช่ปริยัติเป็นความจำชื่อเท่านั้น
- รู้ว่า จิตไม่ใช่เจตสิก โกรธไม่ใช่จิต เป็นปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวธ วิปัสสนา เพราะฉะนั้นทั้ง ๓เป็นปัญญาความเห็นถูก ค่อยๆ เจริญขึ้นจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงตามที่เขาเองบอกว่าโกรธไม่ใช่จิต
- ถ้าไม่มีปริยัติจะมีปฏิปัตติได้ไหม เพราะฉะนั้นแสดงความจริงตั้งแต่ต้นว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จะไม่มีปฏิปัตติแน่นอน
- คนที่ไม่มีความเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไปทำวิปัสสนาหมายความว่าอะไร เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม เขากำลังทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึเปล่า เขามีโอกาสที่จะรู้ความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้รึเปล่า เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่า แม้ศึกษาธรรมแต่ไม่เข้าใจธรรมก็ผิด จริงไหม นี่เป็นสัจจบารมี
- เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมคุณของผู้ที่ตรัสรู้ความจริงที่ประเทศนี้แล้วก็ทรงแสดงธรรมให้คนทั้งโลกทุกโลกให้เข้าใจความจริง
- อะไรเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันให้สิ่งที่ถูกให้อื่นได้เข้าใจด้วยเมื่อเราเข้าใจแล้ว
- ต้องเคารพสูงสุดในคำที่ทำให้สามารถรู้ความจริงที่ลึกซึ้งเดี๋ยวนี้ได้
- เพราะฉะนั้นต้องยินดีในกุศลที่เห็นความลึกซึ้งเพราะถ้าไม่เห็นความลึกซึ้งผิดทันที
- ไม่ใช่สะสมความเห็นผิดเพียงในขณะนี้แต่ต่อๆ ไปในสังสารวัฏฏ์ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เพราะไม่มีความเข้าใจความลึกซึ้งในขณะนี้
- เข้าใจไหมว่า เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เป็นเรื่องเคารพสูงสุดในทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงให้เราได้เริ่มเข้าใจถูกต้อง
- เพราะฉะนั้นเราเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เรารู้ว่าเป็นธรรม เราไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจใครจะทำอะไรเขาได้เพราะเขาสะสมมาแต่มีคนที่ได้สะสมมาแต่ยังไม่ได้ยินได้ฟัง ถ้าเขามีโอกาสได้ยินได้ฟังเขาก็เริ่มเข้าใจความลึกซึ้ง แต่ต้องให้รู้ความลึกซึ้งไม่ใช่สอนเรื่องจิต เจตสิก หรือจำนวนต่างๆ
- เป็นธรรมดา ธรรมลึกซึ้งก็เข้าใจทุกคนว่า สะสมมาต่างๆ กันแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตในชาตินี้ มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมก็ควรที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจพระธรรมด้วยโดยไม่สนใจว่า เขาจะเข้าใจแค่ไหนเพราะต่างคนต่างเป็นไปตามปัจจัยซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด
- ข้อสำคัญที่สุดที่จะรักษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และเราได้เข้าใจก็คือ ต้องละเอียดไตร่ตรอง เคารพสูงสุดที่จะต้องเข้าใจคำที่เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง ไม่กล่าวคำที่ไม่จริง
- เมื่อสามารถเข้าใจความลึกซึ้งได้ ก็จะให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจถูก
- เพราะฉะนั้นทุกคำต้องไตร่ตรอง ถามว่า จิตมีเท่าไหร่อีกครั้งนึง (๘๙ หรือ ๑๒๑)
- แต่สามารถจะรู้ความจริงของจิตอะไรบ้าง (เข้าใจบางจิตได้ แต่ไม่ได้เข้าใจทีละจิต)
- ไม่ได้ถามอย่างนั้น ถามว่า มีจิตถึง ๘๙ หรือ ๑๒๑ ประเภทแต่ถ้าละเอียดกว่านั้นก็มากมายมหาศาลแต่ว่าสามารถจะรู้ความจริงของจิตอะไรบ้าง (เท่าที่เกิดขึ้นทาง ๖ ทวาร) ตอบได้ไหมให้ชัดกว่านั้น (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส และคิดนึก และปฏิสนธิเป็นจิต ไม่สามารถรู้ได้เพราะดับไปแล้วแต่เข้าใจได้)
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจมั่นคงในความต่างของจิตและเจตสิก ในขณะที่กำลังโกรธสามารถที่จะรู้จิตได้ไหม (ไม่สามารถรู้ได้)
- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานมีไหม ลึกซึ้งไหมที่จะรู้ว่า ขณะไหนมีจิตเป็นสติปัฏฐานหรือขณะไหนมีเจตสิกอะไรเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่ศึกษาละเอียดอย่างนี้จะเป็นปริยัติไหม
- นี่เป็นขั้นต้นกว่าจะเป็นปฏิปัตติและกว่าจะเป็นปฏิเวธซึ่งเป็นวิปัสสนา เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ก็เข้าใจผิด
- เดี๋ยวนี้เข้าใจปริยัติแล้วใช่ไหม ไม่ใช่จำชื่อแต่ต้องเป็นการเห็นความลึกซึ้งของธรรมและเข้าใจถูกต้อง กว่าจะเป็นปฏิปัตติหรือกว่าจะเป็นปฏิเวธ
- เมื่อไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมก็เข้าใจผิดทั้งๆ ที่ไม่ใช่ปฏิปัตติ ปฏิเวธ และวิปัสสนาก็เข้าใจผิดเพราะไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรมจึงไม่ใช่ปริยัติ
- คุณอาคิ่ลเข้าใจวิปัสสนาแล้วใช่ไหม คราวหน้าก็จะได้พูดถึงความละเอียดขึ้น