ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๕
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้เกิดความเข้าใจซึ่งเป็นปัญญาของแต่ละคนที่ได้ฟัง นั่นคือคุณ ที่ไม่สามารถที่จะมีอะไรเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏฏ์ เริ่มที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละคำ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่งลุ่มลึก ตามลำดับ เพราะฉะนั้น การฟัง ต้องเข้าใจ ไตร่ตรอง ทีละคำจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง
~ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสข้อความใด เหมือนยาอันประเสริฐ พระธรรมหรือพระพุทธพจน์แต่ละคำมีคุณค่า มีประโยชน์ เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่จริงเป็นสัจจะ และเกื้อกูลบุคคลที่รับฟังและพิจารณาประพฤติปฏิบัติตามได้
~ การขัดเกลากิเลส เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะเหตุว่าจะต้องเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมโดยละเอียด โดยถูกต้อง ถ้าใครศึกษาพระธรรมโดยไม่รอบคอบ หรือมีการเข้าใจผิดในพระธรรม การขัดเกลากิเลส ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้
~ การฟังเป็นความดี เพราะเหตุว่าเมื่อฟังแล้ว ประโยชน์คือเริ่มเข้าใจสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน ยิ่งฟังมากก็ยิ่งเข้าใจได้ถูกต้องขึ้น ละเอียดขึ้น
~ ต้องเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นที่เกิดมีทุกขณะ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่ของใครเลย และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย เป็นแต่เพียงลักษณะที่มีจริงแต่ละอย่างที่ปรากฏให้รู้ว่ามี
~ ทุกคนต่างกันตามการสะสม ใครที่มีกาย วาจา ไม่ดี เพราะไม่รู้ ถ้ารู้ เขาอยากจะเป็นอย่างนั้นไหม ทั้งหมดคือความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีเมตตา ไม่ว่าทางหนึ่งทางใดที่จะทำให้เขารู้ขึ้น เข้าใจถูกขึ้น นั่น เป็นประโยชน์สูงสุด
~ ธรรมทั้งหมดเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อมีปัญญาแล้ว กาย วาจาของเรา จะดีขึ้น คนที่เคยพูดคำที่ไม่น่าฟัง แต่พอเข้าใจในความเป็นเพื่อน และคิดถึงว่า คนอื่นก็ไม่อยากได้ยินคำอย่างนี้ จะหยุด แม้ว่ากำลังจะกล่าวคำที่ไม่น่าฟัง นี่คือความเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ทุกกรณี ทุกสถานการณ์ เป็นประโยชน์
~ กรุณาจะเกิดขึ้นเวลาที่เห็นคนอื่นประสบความทุกข์ เพราะฉะนั้น การเจริญกรุณา จะต้องมีความรู้สึกเอ็นดู เห็นใจในคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือว่า คนที่ป่วยไข้ได้เจ็บ มีความสงสารและช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้น
~ ความโกรธ ไม่มีประโยชน์เลย นอกจากนั้นก็เป็นผู้ที่จะต้องได้รับผลของความโกรธของตนเอง แต่เวลาที่คนอื่นโกรธท่าน ท่านก็ไม่ควรที่จะโกรธตอบด้วย เพราะควรที่จะพิจารณาใคร่ครวญว่า แม้บุคคลอื่นโกรธเราแล้ว จักทำอะไรเราได้ จักอาจยังคุณมีศีลเป็นต้นของเราให้พินาศไปได้หรือ? ถ้าท่านเป็นคนดี แล้วคนอื่นโกรธ คนที่โกรธท่าน ไม่สามารถทำให้ท่านเสื่อมจากคุณจากศีลของตัวท่านได้เลย เพราะว่า ยิ่งเขาโกรธ ก็ยิ่งเป็นโทษสำหรับเขา
~ อกุศลธรรมก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นแหละ จะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้
~ พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เป็นคำจริง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้คนที่เข้าใจผิด สามารถเข้าใจถูกได้ ถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงและเหตุผล
~ อกุศลทั้งหลายเกิดเพราะความไม่รู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใด ไม่มีอกุศลแม้ประเภทเดียวซึ่งไม่ได้เกิดเพราะความไม่รู้ แต่เพราะไม่รู้จึงเป็นเหตุให้อกุศลทั้งหลายเกิด เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้
~ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้ชีวิตที่ดีขึ้น ก็เพราะมีความเข้าใจขึ้น ว่า ไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้เลย เพราะว่า เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นเหตุ ย่อมเป็นปัจจัยทำให้เกิดธรรมซึ่งเป็นผล ถ้าไม่มีธรรมที่เป็นเหตุ ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นผล ก็มีไม่ได้เลย
~ เดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ไม่เคยรู้เลย จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้ และกว่าจะเข้าใจได้ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมเทศนา ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจ ว่า ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งหมดที่ได้ฟัง คือ เดี๋ยวนี้
~ ในขณะที่ฟังพระธรรม ก็จะคิดเรื่องธรรม จะพิจารณา จะเพิ่มความเข้าใจขึ้น และถ้าฟังบ่อยๆ ฟังเป็นประจำ วันหนึ่งๆ ก็มีโอกาสที่จะคิดถึงเรื่องธรรม ซึ่งปกติแล้วนอกจากเวลาฟังธรรมก็มักจะคิดเรื่องอื่น แต่ถ้าวันหนึ่งๆ มีโอกาสฟังมาก ก็จะทำให้คิดถึงเรื่องของธรรมมาก และถ้าฟังจนกระทั่งเป็นอุปนิสัย เวลาที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็อาจจะคิดเรื่องธรรมแทนที่จะคิดเรื่องอื่นก็ได้ แสดงให้เห็นถึงกำลังของการสะสม
~ ท่านมีความสุข เห็นคนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน ก็อยากให้คนอื่นเขามีความสุขอย่างเรา ขณะนั้นไม่ตระหนี่ในสุขเวทนา แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความสุข และคนอื่นมีความทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่มีความคิดเกื้อกูลบุคคลนั้นให้มีความสุขบ้าง ขณะนั้น ก็เป็นความตระหนี่ขันธ์ คือ ตระหนี่สุขเวทนา
~ ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ย่อมไม่พ้นจากการมีกายทุจริตบ้าง วจีทุจริตบ้าง มโนทุจริตบ้าง ถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อตัวเองจะรู้ได้จริงๆ ว่า ขณะไหนเป็นกายทุจริต ขณะไหนเป็นวจีทุจริต คำพูดที่ทำให้บุคคลอื่นไม่สบายใจ หรือเป็นการเสียประโยชน์ของบุคคลนั้น ซึ่งถ้าสติไม่เกิดก็ดูเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดาอีก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ขัดเกลากิเลส ก็จะพิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ ว่า ไม่เพิ่มการปล่อยจิตในกายทุจริต ในวจีทุจริต ในมโนทุจริต ในเบญจกามคุณ คือ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย)
~ ถ้าท่านเป็นเพื่อนแท้ของบุคคลใด ก็แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาต่อบุคคลนั้น และก็คงจะรู้ได้ว่า ถ้าหวังร้ายต่อใคร หรือว่ายินดีในความพินาศของใคร ขณะใด ขณะนั้นท่านไม่ได้เจริญเมตตา ไม่ต้องไปแผ่ถึงไกลมาก เพียงแต่ผู้ที่ท่านรู้จักคุ้นเคย แล้วท่านเกิดความไม่พอใจในความเจริญของบุคคลนั้น หรือว่ายินดีในความพินาศของบุคคลนั้น ก็ชื่อว่า ท่านไม่ได้เจริญเมตตาในขณะนั้น
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
มีธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏรู้ น้อมสู่การไตร่ตรอง ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแล้วดับไป มิใช่เรา น้อมกราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ