หนทางที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่พูดเรื่องอื่นในขณะที่กำลังเห็น_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

 
เมตตา
วันที่  12 พ.ย. 2565
หมายเลข  45082
อ่าน  553

- มีจิตที่กำลังเห็น ยังไม่รู้จัก แต่ว่าคิดถึงเรื่องอื่นจะไม่มีวันรู้จัก แต่กำลังเห็น แล้วพูดเรื่องเห็นอีก แล้วพูดเรื่องเห็นอีก ในขณะที่กำลังเห็น จะค่อยๆ ทำให้เริ่มรู้จักสภาพเห็น.

- เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับหรือเปล่า? (เกิดแล้วดับ) รู้เห็นที่เกิดดับเดี๋ยวนี้หรือเปล่า (ไม่รู้) แสดงความลึกซึ้งของสิ่งที่กําลังปรากฏใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย ธรรมลึกซึ้งอยู่ที่ เดี๋ยวนี้ ที่กำลังเห็น เกิดดับแล้วไม่รู้ว่าเห็นเกิดดับ นั่นลึกซึ้ง.

- ต้องไม่ลืมว่า ทุกสิ่งที่เกิดปรากฏ แล้วดับหมดเลยทันที ต้องไม่ลืม เพื่อที่จะได้เริ่มเข้าใจทีละหนึ่ง.

- เห็นเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า? (เป็น) เห็นมีจริงๆ เห็นไม่เกิดไม่มีเห็น เพราะฉะนั้น เห็นเกิดแล้วดับเป็นสัจจธรรมหรือเปล่า? คนที่ไม่รู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดดับ รู้ว่าเห็นเป็นสัจจธรรมหรือเปล่า (ไม่รู้) เพราะฉะนั้น ไม่ลืม เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจธรรม เมื่อสามารถรู้ความจริงของเห็นที่กำลังเกิดดับ ด้วยเหตุนี้ อริยสัจจะที่ ๑ สภาพธรรมที่เกิดดับเดี๋ยวนี้ ลึกซึ้ง จึงเห็นยาก.

- ถ้ารู้แต่ชื่อของจิตมากๆ แต่ไม่รู้ เห็น ที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ลึกซึ้งไหม? (ไม่) มั่นคงในอริยสัจจะที่ ๑ หรือยัง (มั่นคง) มั่นคงขั้นไหม? (ขั้นฟัง) เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส และอริยสัจจะที่ ๔ คืออะไร (ความเข้าใจ) เดี๋ยวนี้หรือเปล่า มั่นคงไหมว่า สิ่งนี้เริ่มเป็นอริยสัจจะที่ ๑ ในอริยสัจจ์ ๔ รอบที่ ๑.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 12 พ.ย. 2565

- ตอนนี้ให้เขานับ เขารู้จักจิต ชื่ออะไรบ้าง ทีละหนึ่ง ทีละคำ ทีละชื่อ (อาช่า: เห็น) เห็น ภาษาบาลีเป็น จักขุวิญญาณ รู้จริงๆ หรือยัง (ไม่รู้จริง) ถูกต้องค่ะ เพียงรู้ชื่อ เข้าใจชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ มีเห็น ก็ยังไม่ประจักษ์แจ้งจริงๆ .

- คุณอาช่า มั่นใจหรือยังว่า จิตเห็นเป็นหนึ่งเดียว คือ เกิดขึ้นเห็น ทำอื่นไม่ได้เลย (เข้าใจค่ะ) เดี๋ยวนี้จิตเห็นมีเท่าไหร่? (มีเยอะมาก) แสดงว่า ยังไม่รู้จักความจริงหนึ่งขณะเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ทั้งวันขาดจิตได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เร็วแค่ไหนสำหรับจิตหนึ่งขณะ จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ จะเกิดขึ้นแล้วก็ดับ รู้เฉพาะสิ่งที่กระทบตาที่เป็นจิตเห็น.

- รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง? (นิดหน่อย) จะรู้จักพระองค์มากขึ้นเมื่อเข้าใจขึ้นทีละน้อย รู้แค่นี้เคารพในพระองค์แค่ไหน? (เข้าใจแค่ไหนก็เคารพแค่นั้น) .

- สิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร? (ความเข้าใจความจริง) ค่ะ ยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่มั่นคง กำลังปลูกฝังความมั่นคง อธิษฐาน เป็นบารมีในการที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น.

- ถ้ารู้จักเพียงชื่อ จะเป็นบารมีไหม? (ไม่) .

- หนึ่งแล้ว จิตเห็น ต่อไปอะไรคะ (จิตได้ยิน บาลีเรียก โสตวิญญาณ) ค่ะ เดี๋ยวนี้มีไหม? (มี) เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ไหม? (ได้) ถ้าสิ่งนั้นมี แต่ไม่มีเดี๋ยวนี้ จะรู้ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เขามั่นคงไหมว่า วันนี้จะรู้เห็น เพราะเห็นมีจริงๆ ขณะที่กำลังเห็น วันนี้จะรู้ได้ยินเพราะได้ยินจริงๆ ในขณะที่ได้ยินได้ไหม ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้สิ่งที่กำลังมีที่กำลังปรากฏ.

- จิตเห็น จิตได้ยิน มีจริงๆ กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นรู้เห็นได้ รู้ได้ยินได้ แต่ละขณะนั้นเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้แต่ละหนึ่งซึ่งต่างกัน.

- สองแล้ว อะไรอีก? (จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) สามแล้ว แล้วมีจิตอะไรอีก? (จิตได้กลิ่น) สี่แล้ว อะไรอีก? (จิตลิ้มรส) เพราะฉะนั้น มี ๕ จิตที่รู้ได้ใช่ไหมในชีวิตประจำวัน (ใช่) แล้วมีจิตอะไรอีกที่รู้ได้ในชีวิตประจำวัน (มีคิด) หกแล้ว ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น กายกาย และทางใจอีกหนึ่ง เป็น ๖ ใช่ไหม.

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 12 พ.ย. 2565

- มีจิตที่ปรากฏ เห็นหนึ่ง ได้ยินหนึ่ง ได้กลิ่นหนึ่ง ลิ้มรสหนึ่ง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสหนึ่ง และคิดหนึ่ง แล้วมีจิตที่มีแต่ไม่ได้รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ใช่ไหม? (ใช่) .

- Dr. Rajesh: จิตที่มี แต่รู้ไม่ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ (ทั้ง ๖ ทวาร) แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ท่านอาจารย์สุจินต์: เมื่อมีปัญญา สามารถจะรู้ได้เมื่อถึงเวลาที่ปัญญาจะรู้อย่างนั้น เวลานี้ไม่มีเห็น แต่เราก็รู้ว่าเห็นมี แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ใช่ไหม? (ครับ) เดี๋ยวนี้ไม่ได้หลับ แต่ก็รู้ว่าเวลาหลับไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรใช่ไหม? (ครับ) .

- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะที่หลับจิตรู้อะไร เพราะฉะนั้น ที่เรานับจิตว่ามีเท่าไหร่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ เพราะมีสิ่งที่ปรากฏในชีวิตคือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก แล้วก็หลับ คือ ไม่ใช่ความรู้อารมณ์ ๖ ทางนี้ เป็นจิตด้วย.

- ขณะที่หลับ เป็นจิตประเภทต่างๆ ที่ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่คิดนึก เวลาเกิดมีใครรู้บ้างไหมว่าจิตประเภทไหนเกิด (ปฏิสนธิเกิด แต่ไม่สามารถรู้ได้) เหมือนจิตเห็น ไม่สามารถรู้ได้ เกิดแล้วดับแล้วใช่ไหม.

- กำลังหลับ รู้ได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น มีจิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ ไม่สามารถจะรู้จิตนั้นได้ และก็มีจิตที่เกิดขึ้นปรากฏจึงสามารถรู้ได้.

- ขณะเกิด จิตที่ทำหน้าที่เกิดแล้วต่างกัน ไม่ใช่จิตประเภทเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่เกิด จิตที่เกิดแล้วเป็นคน จิตที่เกิดเป็นสัตว์ ต่างกัน.

- จิตเห็น ๑ จิตได้ยิน ๑ จิตได้กลิ่น ๑ จิตลิ้มรส ๑ จิตที่รู้กระทบสัมผัส ๑ และก็จิตคิดนึก แล้วก็ยังมีจิตที่ทำหน้าที่เกิดขึ้นในขณะที่เราเรียกว่า เกิด เพราะฉะนั้น จิตที่ทำหน้าที่เกิดในขณะที่เกิด ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่เป็นจิตต่างประเภทกัน เรากำลังเรียนว่าจิตมีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เราเริ่มตั้งแต่ในชีวิตประจำวันที่ปรากฏ และในชีวิตประจำวันก็มีจิตที่ไม่ได้ปรากฏ แต่หลากหลายเพราะเป็นจิตต่างประเภท.

- เรารู้ว่า จิตขณะนั้นต่างกันมาก แล้วเราเพิ่งรู้จิตบางประเภท เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก และก็จิตที่กำลังนอนหลับสนิท เพราะฉะนั้น จิตที่นอนหลับต่างสนิทนี่ นกก็หลับ แมวก็หลับ คนก็หลับ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนั้น ต่างกันตามจิต เพราะเรากำลังเรียนเรื่องจิตต่างๆ กัน อะไรบ้าง ขณะไหนบ้าง.

- เพราะฉะนั้น เราจะเริ่มเรียนรู้ว่าจิตต่างๆ ต่างๆ กันตามประเภทของจิตนั้นๆ จิตที่เกิดขึ้นขณะแรกในชีวิตเกิดแล้ว เลือกไม่ได้ ใครเลือกเกิดให้จิตอย่างนั้นอย่างนี้เกิด แต่จิตเกิดแล้ว.

- จิตขณะนี้เกิดเห็นแล้ว เลือกได้ไหมว่าจะเห็นอะไร (ไม่ได้) จิตที่ได้ยินเกิดแล้ว เลือกให้ได้ยินเสียงต่างๆ เองได้ไหม (ไม่ได้) จิตที่ได้กลิ่นเกิดแล้ว เลือกก่อนเกิดไม่ได้ว่า จะได้กลิ่นอะไร.

- สิ่งที่มีจริงต่างกันเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งมีลักษณะที่น่าพอใจ อีกอย่างหนึ่งมีลักษณะที่ไม่น่าพอใจ กลิ่นมีหลายกลิ่น กลิ่นที่น่าพอใจก็มี ไม่น่าพอใจก็มี เลือกได้กลิ่นที่น่าพอใจได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น มีเหตุที่จะทำให้กลิ่นต่างกัน ให้ทุกอย่างที่เกิดต่างกันเป็นประเภทต่างๆ มากมายหลายนัย.

- ทราบว่า จิตมีมาก เกิดดับนับไม่ถ้วน แตกต่างกันเป็นประเภท ๔ อย่าง หมายความว่า จิตมีหลากหลายมากมายหลายประเภท แต่สามารถที่จะรู้ว่า จิตที่เกิดเหล่านั้นต่างกันเป็นประเภทๆ .

- วันหนึ่งวันหนึ่ง เห็น แต่ไม่รู้ว่า ขณะไหนเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ขณะไหนไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้น จิตเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่น่าพอใจเป็น ๑ จิตที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจเป็น ๑ เพราะฉะนั้น จิตเห็นมี ๒ อย่าง.

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จิตเห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของการกระทำที่ดี จิตเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของการกระทำที่ไม่ดี เพราะเหตุไม่ดี ผลจึงไม่ดี.

- บางคนเกิดมาเห็นแต่สิ่งที่ดีมากมาย บางคนเกิดมาเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีมากมายเป็นเพราะเหตุ ถ้ามีเหตุที่ไม่ดีมากก็ทำให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สิ่งที่ไม่ดีมาก ถ้ามีเหตุที่ดีมากก็ทำให้เห็น ได้ยิน สิ่งที่ดีมาก เพราะฉะนั้น การเห็น การได้ยิน ทุกขณะในชีวิตประจำวันมาจากการเกิดที่ดี และการเกิดที่ไม่ดี.

- ที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ คำว่า กรรม หมายความถึงการกระทำที่ดีเป็นกรรมดีเป็นเหตุดีที่จะให้ผลที่ดีเกิดขึ้น ถ้าเป็นกรรมไม่ดีคือการกระทำที่ไม่ดีเป็นเหตุที่ไม่ดีที่จะทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น.

- วันหนึ่งๆ ทำสิ่งที่ดีมากหรือทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่า (ไม่ดีมากกว่า) ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง จะรู้ไหมว่า ยืนอยู่เดี๋ยวนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล (ไม่สามารถรู้ได้) .

- แต่ถ้าศึกษาฟังเหตุผลต่อไปก็จะรู้จักลักษณะของจิตประเภทต่างๆ ว่า จิตไหนเป็นกุศล จิตไหนเป็นอกุศล ไม่ใช่จิตเห็น ไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตได้กลิ่น ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ถูกต้องขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า จิตประเภทไหนเป็นกุศลที่ดีงาม จิตประเภทไหนเป็นอกุศลที่ไม่ดีงามเป็นเหตุ ที่จะเกิดผล.

- จิตที่เกิดขึ้นขณะแรกยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แต่เกิดแล้วเป็นผลของกรรมหนึ่ง ทำให้จิตประเภทนั้นทำให้เกิดผลในชีวิตต่อไปทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส นั่นคือผลของกรรม ที่ได้กระทำแล้ว ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดประเภทนั้นที่จะนำให้ได้เห็น ได้ยิน สิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจต่างกัน.

- เรากำลังเรียนศึกษาเรื่องจิตกันหรือเปล่าเดี๋ยวนี้ (เรียน) เพราะฉะนั้น แต่ก่อนนี้เราไม่รู้เลยว่า จิตต่างกันทุกขณะ เป็นประเภทต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะ แล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น จิตขณะแรกที่เกิดไม่ใช่จิตขณะต่อๆ ไป.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 12 พ.ย. 2565

- จิตขณะแรก เกิดขึ้น เพราะเป็นผลของการกระทำที่ได้กระทำแล้ว การกระทำที่กำลังอยู่เดี๋ยวนี้ และที่ได้กระทำแล้วนานแสนนาน สามารถที่จะทำให้ จิตขณะแรก เกิดขึ้นเป็นชาติ (ชา - ติ) หรือการเกิด เป็นคน หรือเป็นสัตว์หลากหลายมากตามกรรมที่ได้กระทำ เพราะฉะนั้น เราต้องเริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง จิตไหนเป็นเหตุต่างๆ และจิตไหนเป็นผลของกรรม.

- วันนี้ทำกรรมอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ทำกรรมอะไรบ้าง ตั้งแต่เกิดมาทำกรรมต่างๆ และกรรมที่ทำแล้วสามารถเป็นเหตุให้เมื่อตายแล้ว ก็ทำให้เกิดปฏิสนธิทันที.

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องกรรมละเอียด ว่า กรรมไหนให้ผลอย่างไรในขณะที่มีกำลังแค่ไหน เพราะฉะนั้น กรรมที่ได้ทำแล้วแม้นานมาแล้ว แต่มีกำลังมาก แสนโกฏิกัปป์มาแล้วก็ยังมีกำลังที่จะทำให้เกิดได้ เราจึงไม่สามารถรู้ได้ว่า ที่เราเกิดชาตินี้เป็นผลของกรรมในชาติก่อน หรือว่า เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วนานมาก.

- จิตที่เกิดทุกชาติ ทุกวัน ทุกประเภท สามารถที่จะจำแนกโดยนัยของการเกิด (ชา - ติ) เป็น ๔ ประเภท.

- เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าขณะไหนเป็นกรรมที่จะทำให้เกิดผล และขณะไหนเป็นผลที่เกิดจากการกระทำแล้ว.

- เราไม่รู้ว่า ที่เกิดเป็นคนคนนี้ เป็นผลของกรรมชาติไหน.

- ทันทีที่จิตสุดท้ายเกิดขึ้น หนึ่งขณะ ทำกิจพ้นจากความเป็นบุคคลนี้ กรรมที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ กรรมหนึ่งเท่านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปเป็นชาติต่อไป.

- เกิดชาตินี้เป็นผลของกรรมอะไรไม่รู้ ขณะนี้รู้ชาตินี้ทำกรรมอะไรบ้าง ถ้าเป็นผลของกรรมดีก็เกิดเป็นคน เป็นเทวดาได้.

- ถ้าจากโลกนี้ไป ขณะตายมีขณะอื่นเกิดต่อทันที ไม่รู้ว่าเป็นผลของกรรมอะไร เป็นผลของกรรมดี หรือผลของกรรมไม่ดี.

- มีใครรู้บ้าง จากโลกนี้ทันทีเดี๋ยวนี้ก็ได้ แล้วไปไหน เกิดเป็นอะไร ม้ากัณฐกะ ทุกคนรู้จัก เกิดเป็นม้า แต่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว เกิดเป็นเทวดาลงมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งอริยสัจจธรรม.

- กรรมที่ได้ทำแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อจากโลกนี้ไป แล้วแต่ว่ากรรมใดจะทำให้เกิดเป็นอะไร เพราะฉะนั้น ชาตินี้ไม่ประมาท ถ้าทำกรรมที่ไม่ดี และชาติก่อนๆ ก็มีกรรมที่ไม่ดีซึ่งมีโอกาสที่จะให้ผลหลังจากตายแล้วก็เกิดในภูมิที่ไม่ดี.

- ผู้ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิอีกเลย ก็คือ พระโสดาบัน แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏจนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ยังต้องเกิดในภูมิที่ไม่ดีต่อไปได้.

- การเกิด (ปฏิสนธิ) เป็นผลของกรรม และหลังจากเกิดแล้ว ก็เห็น เป็นผลของกรรม ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สภาพเป็นผลของกรรม.

- กรรม ก็คือ การกระทำที่เป็น กรรมดี ๑ กรรมไม่ดี ๑.

- วันนี้ก็รู้จักจิตในชีวิตประจำวันว่า ต่างกันเท่าที่ทราบเดี๋ยวนี้ คือ เป็นเหตุที่ดี เป็นกุศล ๑ เป็นเหตุที่ไม่ดี เป็นอกุศล ๑ และเมื่อเหตุที่ดีหรือไม่ดีที่ได้กระทำไปแล้ว ก็ทำให้เกิดผลคือ วิบาก คือ จิตที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบกาย ตามกรรมที่ได้ทำแล้ว.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 12 พ.ย. 2565

- ถ้าไม่เริ่มเข้าใจความละเอียดของ สิ่งที่เกิดขึ้น เพียงหนึ่งขณะ เพิ่มขึ้น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง และติดข้องในสิ่งนั้นนานแสนนาน ยากที่จะไม่มีได้ หรือดับได้ และนี่คือ ความลึกซึ้งอย่างยิ่งของ อริยสัจจะที่ ๑ คือ หนทางที่จะรู้ความจริงจนประจักษ์แจ้งความจริงได้.

- อริยสัจจ์ ๔ มรรคมีองค์ ๘ หนทางที่จะรู้ความจริง ลึกซึ้ง และนี่กำลังเดินหนทางที่ลึกซึ้งที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจจนประจักษ์แจ้งอริยสัจจะได้ มิเช่นนั้น เราก็เพียงแต่ จำชื่อ และพูดเรื่องอริยสัจจ์ ๔ แต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นอริยสัจจะ.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 12 พ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ