ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๖
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า ใครเป็นสัตบุรุษ (ผู้สงบ) ใครไม่ใช่สัตบุรุษ ถ้าเป็นสัตบุรุษ ก็จะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่จะทำให้เกิดปัญญาของผู้นั้นเอง จากการฟังและไตร่ตรอง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่หมายความว่าต้องเชื่อ หรือต้องจำ โดยที่ไม่เข้าใจ แต่ฟังแล้วพิจารณาในเหตุในผล ในความเป็นจริง
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัดต้นตอที่จะทำให้เบียดเบียนคนอื่น เพราะรู้ว่าเบียดเบียนคนอื่นเมื่อไหร่ เบียดเบียนตนเองเมื่อนั้น ประทุษร้ายด้วยกิเลสที่ทำให้จิตขณะนั้นไม่ผ่องใส แปดเปื้อน สกปรก ไม่ดีงาม เศร้าหมอง เพราะอกุศลที่เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเท่านั้นเมื่อรู้ถูกต้องแล้ว ก็จะทำให้สามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่ดี ซึ่งถ้าทุกคนดีหมด กฎหมายก็คงจะไม่ต้องบัญญัติไว้มากมาย
~ ท่านผู้ฟังซึ่งเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมทราบว่า ปัญญาของท่านนี้เริ่มเกิดขึ้นบ้างหรือยัง เป็นปัญญาขั้นไหน และปัญญาแต่ละขั้นอาศัยอะไรจึงได้เกิดขึ้น ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ต้องอาศัยการฟัง จึงชื่อว่า สาวก คือ ผู้ฟัง ฟังธรรมซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วพร้อมทั้งเหตุผลที่จะให้ผู้ฟังได้พิจารณาให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย พร้อมทั้งเจริญหนทางอบรมปัญญาจากขั้นการฟัง เป็นขั้นการศึกษา ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกระทั่งเป็นการละคลายความไม่รู้ ความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ
~ เห็น จะเป็นใคร จะเป็นสัตว์ จะเป็นคน จะเป็นนก จะเป็นปู จะเป็นปลา เป็นไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า เห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่คิดถึงรูปร่างเลย ก็จะเป็นเพียงขณะที่เห็น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เอง เท่านั้นเอง
~ ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะคือความจริง ไม่เว้นเลยสักขณะเดียว ทุกวันทุกเวลาสั้นยิ่งกว่าวินาที เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปโดยไม่รู้เลย
~ ความไม่รู้ (อวิชชา) ก็คือความไม่รู้ ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ก็มีสภาพธรรมที่ไม่รู้มานานแสนนาน แล้วก็ไม่มีวันจะหมดสิ้นไปได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง
~ มีเหตุที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ก็เกิด ขณะนี้นั่งกันอยู่ได้ มีความสุข เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาแล้ว อะไรเป็นเหตุ ใครไปทำใคร นั่งกันอยู่ด้วยกันไม่มีใครทำร้ายใครเลย แต่เจ็บก็เกิดได้ ปวดหัวตัวร้อน ก็เกิดได้ อะไรก็เกิดได้ โดยไม่คาดฝัน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ต้องแล้วแต่เหตุ ถูกไหม?
~ ความไม่รู้ทั้งหมด ไม่ทำให้เห็นประโยชน์ของความดี
~ ปัญญาไม่ได้นำโทษใดๆ มาให้เลย ทางของปัญญา เป็นทางที่ทำให้กุศลทั้งหลายเจริญ
~ ความดี เป็นความดี ความชั่ว เป็นความชั่ว ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้น จะมีการเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน ได้ไหม แทนที่จะโกรธ? เพราะโกรธ ไม่ดีแน่ๆ จะมาอ้างสักนิดหนึ่งว่า ต้องโกรธ ไม่ได้เลย ทำไมต้องโกรธ? ดีตรงไหน?
~ เราต้องพบคนมากมายอยู่เสมอ บางคนดี บางคนชั่ว และขณะนั้นจิตของเราเป็นอะไร ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งพบเขา เป็นอะไร สำคัญที่ไหน สำคัญที่เขาหรือสำคัญที่ตัวเราเองที่จะรู้ว่า ไม่มีใครอยากไม่ดี แต่ไม่ดีเพราะไม่รู้ อันนี้แน่นอนที่สุด ถ้าปัญญาเกิดไม่มีทางที่จะน้อมไปทางฝ่ายอกุศล แต่เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่รู้จึงเป็นอกุศล
~ ความไม่รู้ในโทษของความไม่รู้และในความติดข้อง เป็นเหตุที่จะให้เกิดอกุศล ทุกวันนี้ ในชีวิตของเรา มองไม่เห็นอกุศลเลย จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมด้วยความเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ และพระธรรมแต่ละคำ ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตที่ยังมีกิเลส ก็สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีค่าที่สุด ที่จะทำให้ความไม่รู้และกิเลสนั้นค่อยๆ หมดไป ไม่ว่าในเพศคฤหัสถ์หรือบรรพชิต
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นทุกคนที่ไม่เข้าใจธรรม เปรียบดุจแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มีเห็นตรงไหน ชอบตรงนั้น ยึดถือเห็นว่าเป็นเรา และยินดีในสิ่งที่ปรากฏ เหมือนกันหมดเลย ไม่ว่ากาลสมัยไหน เพราะมีความไม่รู้ในโทษของความไม่รู้และในความติดข้อง
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ย่อมไม่มีทางที่จะรู้โทษของการที่มีความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงทำให้หลงพอใจ มาก จนกระทั่งเกิดความทุกข์เมื่อเกิดความพลัดพราก หรือ ไม่ได้ในสิ่งที่พอใจ จนกระทั่งเป็นเหตุให้กระทำทุจริตกรรม ร้ายแรงถึงกับสามารถที่จะฆ่าคนอื่นได้ เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน มากมายมหาศาล
~ ถ้าอกุศลจิตเกิด สังเกตได้ทันทีในขณะนั้นว่า แม้เพียงวาจาที่จะให้คำแนะนำช่วยเหลือก็ทำไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ความไม่ชอบใจเกิดขึ้นในบุคคลหนึ่งบุคคลใด จะเห็นได้ทันทีว่า กั้นกุศลทั้งหลาย ไม่ให้กระทำแม้การสงเคราะห์ด้วยวาจาในบุคคลนั้น ในขณะที่บุคคลนั้นควรที่จะได้รับการสงเคราะห์ด้วยการแนะนำช่วยเหลือต่างๆ
~ การที่จะดับกิเลสหมด ต้องดับแม้ความไม่อ่อนโยนของจิตใจ ก็จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่สะสมกุศล เกิดความอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้าง ก็จะทำให้ตัดการที่จะคิดเบียดเบียนบุคคลอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลายก็จะนำมาซึ่งกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป และอกุศลธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ก็ย่อมจะนำมาซึ่งอกุศลธรรมทางกาย ทางวาจา ทางใจ ต่อๆ ไปด้วย
~ ถ้าสะสมอกุศลธรรมมามากและไม่ได้ขัดเกลา ผลที่ปรากฏ คือ ย่อมทำให้เกิดการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เป็นอกุศล
~ เกลียดชังคนอื่นแล้วจะเป็นสุขได้อย่างไร
~ แต่ก่อน เราทำโดยที่เราไม่เข้าใจ แต่พอเริ่มเข้าใจว่าอะไรผิด อะไรถูก เราจะทำสิ่งที่ถูกไหม? หรือว่า เรายังคงทำสิ่งที่ผิดต่อไป? ถ้าทำสิ่งที่ผิด ใครผิด? ตัวเราที่ทำนั่นแหละ ผิด แล้วสิ่งที่ผิดนั้น ให้โทษไหม? สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ให้โทษไหม?
~ เวลานี้ ใครจะให้เงินพระ เราห้ามเขาไม่ได้ แต่เราไม่ให้ ถูกหรือผิดที่เราไม่ให้?
~ พระ คือ "วระ - ผู้ประเสริฐ" เพราะไม่มีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป ใครทำได้?
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ฟังธรรม เข้าใจธรรม ในคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ไพเราะจับใจค่ะ กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง ยินดีในกุศล และกราบขอบพระคุณค่ะอาจารย์คำปั่น