ต้องเคารพสูงสุดว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันที่ ๑๙ พ.ย.๖๕

 
เมตตา
วันที่  19 พ.ย. 2565
หมายเลข  45141
อ่าน  312

ขอบนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



- ทำไมเราต้องฟังให้เข้าใจจิตที่รู้ได้ในชีวิตประจำวัน มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีกระทบสัมผัสกาย มีคิดนึก นี้ด้วย (อาช่า: เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้) เพราะว่า ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีอะไรเลย มีจิตทุกขณะ เพื่อเข้าใจจิต.

- สิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ ละเอียดลึกซึ้งไหม? (ลึกซึ้งมาก) เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจจะไม่สามารถรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม?.

- จิตเกิดขึ้นตามลำพังอย่างเดียวได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีการเกิดเฉพาะอย่างเดียวได้ไหม? (ไม่ได้) แล้วสิ่งที่ปรากฏจะปรากฏพร้อมกันหลายๆ อย่างทั้งหมดที่เกิดร่วมกันได้ไหม (ไม่ได้) นี่ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจะสามารถรู้เองได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ต้องเคารพสูงสุดว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี.

- ทำไมจึงต้องรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ (ถ้าไม่เข้าใจ ทุกอย่างเกิดมาก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เข้าใจเพื่อละความไม่รู้) เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คือ รู้อะไร? (รู้สิ่งที่มีตอนนี้) ความจริงของสิ่งที่มีคืออะไร สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้กำลังมี แต่ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ที่สมควรที่จะรู้คืออะไรที่เป็นจริง (ได้ยิน) ก็กำลังได้ยินแล้วก็รู้ความจริงของได้ยิน คือรู้อะไร (ได้ยินเพียงเสียงแล้วดับ) .

- พูดถึงความจริงของทีละหนึ่ง มีการได้ยินเสียง ที่ฟังธรรมเพื่อรู้ความจริงของอะไร? (รู้ว่า ได้ยินเป็นการรู้อย่างหนึ่ง) เพราะฉะนั้น ทำไมจึงต้องรู้ การรู้ คือ ได้ยินว่า เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ทำไมจึงต้องรู้อย่างนี้ (ต้องเข้าใจ เพราะว่าไม่เข้าใจ) เพื่อเข้าใจทำไม? (เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง) แล้วรู้สิ่งที่มีจริงเพื่ออะไร (เพื่อเข้าใจ) เข้าใจเพื่ออะไร? (ถ้าไม่เข้าใจจะมีความติดข้อง) เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงเมื่อไม่เข้าใจ เพื่อที่จะละการที่เคยไม่เข้าใจ และเข้าใจว่าเราเห็น เราได้ยิน เป็นต้น เพราะไม่เข้าใจจึงเข้าใจว่าเป็นเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด.

- ต้องไม่ลืมจุดประสงค์เพื่อรู้ความจริง เพราะนานแสนนานแสนโกฏิกัปป์ หรือเกินกว่านั้นไม่เคยรู้ความจริง จึงเข้าใจตลอดมาว่า เราเห็น เราได้ยิน เราจำ เราชอบ สิ่งนั้นที่เราชอบเป็นสิ่งหนึ่งหนึ่งใด จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เริ่มเข้าใจถูกต้องสิ่งที่มีนั่นเป็นอะไร ทุกอย่างที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงเพื่อละความไม่รู้และความติดข้องว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด.

- เดี๋ยวนี้มีคุณMadhu ไหม? (ไม่มี) พูดว่าไม่มี แต่ความจริงยังคิดว่ามีใช่ไหม? (ใช่) เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเท่านี้หรือ? (ต้องเข้าใจอีกมาก) .

- นี่เป็นเหตุที่เขาไม่มีทางที่จะเข้าใจคำของเรา เพราะเรามีคำใหม่ให้เขาไปสนใจ เช่น คำว่า ธาตุ อายตนะ แต่พวกนี้เราไม่ต้องใช้สักคำจนกว่าเขาจะเข้าใจความเป็นสิ่งนั้น และเราใช้ชื่อให้เขารู้ได้เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่ถ้าเรามีคำใหม่ให้เขาสนใจ เขาจะลืมจุดประสงค์ เขาจะไปสนใจสิ่งนั้นแล้วไปคิดถึงสิ่งนั้น ใช้คำที่เคยได้ยิน แต่ว่า นั่นไม่มีความสำคัญเพราะนั่นเป็นอาการของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้.

- เขาต้องมั่นคงในการที่จะรู้ประโยชน์จริงๆ ว่า การฟังไม่ใช่เพื่อไปจำชื่อ ให้รู้ชื่ออะไรทั้งหมด แต่สิ่งนี้กำลังมี เพราะฉะนั้น เขาฟังธรรมเพื่ออะไร ให้มีความมั่นคง.

- สิ่งที่ทุกคนไม่มีคือ ความมั่นคงในความลึกซึ้ง ในการที่จะต้องรู้จริงๆ เพราะเขาไปเพลิดเพลินกับคำต่างๆ คิดว่า เขารู้ แต่ทั้งหมดนั่นคือ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขารู้จักคำนั้นเลย เราบอกเขาได้ แต่ไม่ใช่ไปบอกชื่อก่อน ให้เขาไปคิดเรื่องอื่นแล้วไม่ได้ไตร่ตรองจนมั่นคง.

- ถ้าเขาเข้าใจชื่อทั้งหมด เขาสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังมีแต่ละหนึ่งที่เขาบอกว่าเยอะแยะได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เป็นชื่อทั้งหมดที่เขาพูด แต่ไม่สามารถจะรู้ได้ ต้องเข้าใจก่อนทีละเล็กทีละน้อยให้มั่นคงว่าเขาฟังทำไม.

- ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมมาก (เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตอนนี้) พูดง่ายมากง่ายมาก ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ความเข้าใจอะไร ระดับไหน มั่นคงหรือยัง มีแต่การที่ไม่รู้และได้ยินชื่อแล้วก็ติดตามชื่อนั่นเป็นความเข้าใจหรือ? เขาไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้ง เขาตอบเผินๆ เพราะเห็นว่าง่ายๆ ถามไปอย่างนี้ก็ตอบอย่างนี้มา แต่ว่าเขามั่นคงจริงๆ หรือเปล่า ว่า เขาไม่ได้ไปติดที่ชื่อ อย่างเขาบอกว่า ธรรมสองอย่าง นามธรรมกับรูปธรรม เขาจำแล้วแล้วก็รู้ว่านามธรรมเป็นสภาพรู้ รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้เขาจำแล้ว นี่หรือคือการศึกษาธรรม.

- ฟังเข้าใจเพื่ออะไร? (ตอบไม่ได้) คุณสุคินทราบไหมว่าเพราะอะไรเราถึงไม่ใช้คำภาษาบาลีอะไรทั้งสิ้น แต่เราพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เขารู้ว่า เขาไม่รู้อะไร เพราะกำลังมีเดี๋ยวนี้.

- (Akhil: ฟังธรรมศึกษาธรรมเพื่อละความไม่รู้) ท่านอาจารย์: คุณสุคินค่ะ เราจะต้องรู้ว่า ทุกคนฟังธรรมแบบนี้ ฟังเรื่อง รู้เรื่อง เขียนตำราได้แต่เขาสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เดี๋ยวนี้หรือเปล่า.

- (Akhil: ต้องศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้มีลักษณะ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เพื่อเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงตอนนี้เป็นอย่างไร) แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงตอนนี้ว่าเป็นอะไร.

- ต่อไปนี้ต้องตั้งต้นใหม่เพราะเราเห็นคนที่มีตำรับตำรามากมายแต่เขาก็ไปทางผิดได้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจเลย แม้แต่คุณสุคินเองอย่าไปใช้คำอะไรทั้งหมด สั้นๆ เพื่อให้เขาคิดมากๆ เพื่อให้เขาเห็นความลึกซึ้งในสิ่งที่แม้แต่คำเดียวที่เขาได้ยินว่า ลึกซึ้ง อย่างไร ทีละคำสั้นๆ สั้นๆ ต้องไม่ลืมคำนี้ เพราะว่าความไม่รู้มีเยอะเยะ แม้แต่คำที่เราพูดเขาก็ไมรู้ เพราะฉะนั้น ต้องให้เขาคิดไตร่ตรองจนกระทั่งเห็นความลึกซึ้ง.

- อย่างบอกว่าพระพุทธเจ้าสอนมากกว่านี้ใช่ไหม ไม่ต้องไปพูดคำว่า อายตนะหรืออะไรที่ให้เขาคิด เราต้องค่อยๆ ประคองเขาไปให้เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ใช่ตำราทั้งหมดที่เอาไปเผยแพร่ที่อินเดีย แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้ ที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าที่เมืองไทยหรือต่างประเทศหรือที่ไหนทั้งสิ้น ต้องให้เป็นปัญญาที่เริ่มที่จะเห็นความลึกซึ้ง.

- จะไม่พูดคำอื่นที่เขาได้ยินมา เขายังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจเพียงแต่จำ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ใช้คำไหนทั้งสิ้นจนกว่าเขาเข้าใจ และเขารู้เองว่านั่นคือคำอะไรหมายความถึงอะไร.

- เดี๋ยวนี้เองมีสิ่งที่มีจริง แค่นี้ กว่าจะฝังลงไปว่า เขาไม่รู้สิ่งที่มีจริง ได้ยินสักเท่าไหร่เขารู้หรือเปล่า ถามว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น มีเสียง) เพราะฉะนั้น มีเห็น รู้จักความจริงของเห็นยัง? มีเสียง รู้ความจริงของเสียงยัง? (ยังไม่รู้) เพราะอะไรจึงไม่รู้ความจริงของเสียง (เพราะความเป็นหนึ่งไม่ปรากฏ) เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้งไหม เพราะเสียงปรากฏ เห็นปรากฏ แต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงของเสียง และความจริงของเห็น ลึกซึ้งไหม?.

- เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ความจริงของเสียง ของเห็น ของทุกอย่างเลย เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? (เริ่มเห็นคุณ) เพราะฉะนั้น เสียงลึกซึ้งไหม? (ลึกซึ้ง) เพราะฉะนั้น คนที่จะศึกษาธรรมจะเริ่มรู้จักพระพุทธเจ้าเมื่อเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่ปรากฏตลอดชีวิต แต่ไม่รู้อะไรเลย จึงเริ่มเห็นความลึกซึ้งที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่เข้าใจทั้งหมดทันที.

- เสียงมีจริงไหม? เห็นมีจริงไหม? (มีจริง) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นตรัสรู้เสียงหรือเปล่า (ตรัสรู้) นานไหมกว่าจะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ความลึกซึ้งและ ความจริงของเห็นของทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตจริงๆ (นาน) เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นอกจากเห็นมี ได้ยินมี คิดมี จำมี ทุกอย่างมีจริงๆ มี อะไรด้วย (ความโกรธ ความจำ) แล้วมีอะไรอีก (มีภวังคจิต) ไม่ต้องพูดถึงภวังค์เลยเพราะยังไม่รู้อะไรกันเลย เอาเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปคิดถึงภวังค์ (มีแข็ง มีกลิ่น มีเวทนา) แล้วมีอะไรอีก (มีคิด มีความติดข้อง มีชอบ ไม่ชอบ ความเป็นตัวตน) มีอะไรอีก สำคัญมาก (มนสิการ) แล้วอะไรอีก (มีสมาธิ) แล้วอะไรอีก แล้วอะไรอีก (มีความไม่รู้) นี่แหละค่ะ กำลังมีใช่ไหม กำลังมีก็ไม่รู้ กำลังพูดก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้มีความไม่รู้.

- ความไม่รู้เป็นคุณอาช่าหรือเปล่า เป็นอาคิ่ลหรือเปล่า เป็นราจีชหรือเปล่า? (ไม่) เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่รู้อะไร? (ไม่รู้เห็น) อย่างเดียวหรือ? (ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่รู้เลย) ค่ะ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มากแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์นานแล้วจนถึงวันนี้ ความไม่รู้จะหมดไปง่ายๆ ไหม? (ไม่ได้) อาหารอร่อย ไม่รู้ความจริงหรือเปล่า (ไม่รู้) กำลังสนุกมาก รู้ความจริงหรือเปล่า (ไม่รู้) กำลังเจ็บมากๆ ไม่รู้หรือเปล่า (ไม่รู้) กำลังหิวมากๆ ไม่รู้หรือเปล่า (ไม่รู้) กำลังจะตาย ไม่รู้ความจริงหรือเปล่า (ไม่รู้) เพราะอะไร (ที่ไม่รู้เพราะมีความไม่รู้) จะสามารถรู้ได้ไหม? (รู้ได้) รู้ได้อย่างไร? (การสนทนาธรรม และมีกัลยาณมิตร) ถ้าฟังแล้วพูดตามแต่ไม่รู้จะสามารถเข้าใจได้ไหม? (ไม่ได้ ต้องเข้าใจ) .

- ฟังคำเพื่อเข้าใจหรือจำ (เพื่อเข้าใจ) ฟังแล้วถ้าไม่ไตร่ตรองเข้าใจได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจอะไร (สิ่งที่มีจริง) สิ่งที่มีจริง เมื่อไหร่ (ตอนนี้) ต้องไม่ลืมเลยถ้าฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีไม่มีประโยชน์.

- ถามว่า ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ไหม? (สามารถเข้าใจได้) เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เข้าใจได้ไหม? (เข้าใจหน่อย) เดี๋ยวนี้สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงได้ไหม? (เวลานี้ยัง) ค่ะเพราะขณะนี้ไม่ใช่มีสิ่งเดียวที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ยังไม่สามารถเข้าใจในความจริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดชัดเจนเพียงแต่ได้ยินได้ฟังเท่านั้น.

- ถ้าเข้าใจความจริงขึ้นในสิ่งที่มีขณะนี้ทีละน้อยทีละน้อย ในที่สุดจะสามารถรู้ความจริงอะไร? (รู้เห็น) เท่านั้นหรือ ถ้าปัญญามีมากขึ้น (รู้เจตสิกที่เกิดพร้อม) มีเจตสิกปรากฏไหม? (ไม่ปรากฏ) เราไม่ได้ถามอย่างนี้เขาเริ่มอะไรผิด เขาไม่ตรงทาง จะให้ตรงทางจริงๆ ว่า ยังไม่ต้องพูดเรื่องเจตสิก เราไม่ได้พูดถึงเจตสิก เราพูดถึงว่ามีอะไรก็ตอบตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ตอบว่าเจตสิก มีโกรธ กว่าเขาจะรู้ว่ามีโกรธ โกรธมีจริง ลึกซึ้ง เหมือนทุกอย่าง เพราะอะไร ต้องให้มั่นคงในความลึกซึ้ง มิเช่นนั้น เขาจะเรียนอย่างเป็นคำแล้วก็ไม่สามารถจะเข้าใจอะไรได้เลย เพราะเขาไม่เห็นความลึกซึ้ง จึงคิดว่า นั่นคือการศึกษาธรรม.

- ต้องไม่ลืมความลึกซึ้ง เราจะให้เขาสามารถที่จะเข้าใจตัวธรรมที่มี ไม่ใช่ไปจำชื่อ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่พูดถึงธรรม เขาก็พูดถึงเจตสิก เขาไปแล้วไปที่ชื่อแล้ว แต่เราไม่ต้องการที่จะให้เขารู้จักเพียงชื่อ แต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร เพราะเขาไม่รู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความลึกซึ้งจึงไม่รู้สักอย่างเดียว ต้องอยู่ตรงนี้ให้มั่นคงเพราะนี่กำลังเป็นบารมีที่จะทำให้รู้ความจริง จำชื่อไม่เป็นบารมีเลย.

- เข้าใจแล้วยังว่า ต้องเข้าใจธรรม ตัวธรรม ต้องเข้าใจเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปจำชื่อจิต เจตสิก ขันธ์ ธาตุ อายตนะ.

- (อาช่า: โลภเป็นอกุศล มีความติดข้อง แล้วการอยากรู้ธรรมก็เป็นอกุศลหรือ?) เขาอยากรู้เพื่อตัวเขาหรืออยากรู้เพื่ออะไร (ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อเข้าใจความจริง) เพราะอะไร? (ไปเปิดฟังซ้ำที่เราสนทนากันเพราะบางทีไม่ได้ตั้งใจฟังอย่างตอนนี้อาจจะลืมบางอย่างก็เปิดฟังอีกครั้งว่าที่เราสนทนากันคืออะไร) เปิดอีกฟังอีกให้เข้าใจเพื่ออะไร นี่ต้องลึกลงไปอีก (เพื่อเข้าใจสิ่งที่สนทนา) เพื่ออะไร ทำไมต้องเข้าใจสิ่งที่สนทนา (เพื่อละความไม่รู้) เพราะเห็นประโยชน์ ถ้าไม่เข้าใจก็ละความไม่รู้ไม่ได้ ถ้าตราบใดที่ละความไม่รู้ไม่ได้ ก็ไม่รู้ความจริง นี่เป็นเรื่องละเอียด เพราะฉะนั้น ต้องไม่ใช่ตอบเป็นอะไร ต้องเข้าใจ และกว่าจะรู้ว่าขณะนั้น มีความต้องการด้วยความเป็นตัวตนบ้างไหม ไม่ใช่ว่าให้คนอื่นไปตอบ แต่เขาต้องรู้เองว่าขณะนั้นเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจ ละกิเลส ละความไม่รู้ ละความติดข้องไม่ได้ ลึกซึ้งมาก ต้องไม่ลืม.

- คุณอาช่าสนใจเรื่องปรุงอาหารหรือสนใจที่จะเข้าใจความจริง (มีทั้งสนใจทำอาหาร และฟังธรรม แต่เมื่อหลังจากเริ่มฟังธรรมแล้วความสนใจฟังธรรมจะมากขึ้น) เพราะฉะนั้น สภาพธรรมที่มี คุณอาคิ่ลสนใจอะไร .คุณอาช่าสนใจอะไร ขณะนั้นเป็นความสนใจที่ต่างกัน.

- คุณอาช่าสนใจวาดรูปไหม? (สนใจ) สนใจและอยากวาดรูปไหม? (อยาก) เพราะฉะนั้น ขณะที่สนใจเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และขณะที่อยากวาดรูปเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง.

- คุณอาช่าชอบอาหารอร่อยๆ และสนใจทำอาหารนั้นไหมค่ะ (ชอบและสนใจอยากทำ) แต่บางคนชอบแต่ไม่สนใจที่จะทำใช่ไหม? (เป็นอย่างนั้น) สนใจแล้วทำหรือเปล่า? (มาธุ: ไม่สนใจและก็ไม่ทำ) เพราะฉะนั้น เขาไม่มีความสนใจและไม่มีความต้องการ สองอย่างไม่เหมือนกัน ตอนที่ดิฉันยังไม่ได้ศึกษาธรรม ดิฉันสนใจทำอาหาร แต่พอศึกษาธรรมแล้วดิฉันไม่สนใจทำเลย แต่ความสนใจเกิดขึ้นโดยไม่มีโลภก็ได้ สนใจฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังธรรมเพื่ออยากเป็นพระโสดาบัน สนใจที่จะรู้ว่า โสดาบันคืออะไร หนทางที่จะเป็นโสดาบันคืออะไร แต่ไม่ใช่อยากเป็นพระโสดาบัน เพราะเห็นความลึกซึ้งจึงรู้ว่าไม่สามารถที่จะเป็นพระโสดาบันโดยไม่เข้าใจอะไรเลย.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ