เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ถ. มีผู้กล่าวว่า การปฏิบัติที่ไม่สามารถไปสู่สำนักปฏิบัติแห่งใดแห่งหนึ่งได้นั้นเนื่องจากว่า มีกิเลสครอบงำ ฉุดดึงเอาไว้ไม่ให้ไปสู่สถานที่นั้นๆ ผู้ที่ถือว่าปฏิบัติที่ไหนๆ ก็ได้ เป็นการโกหกตัวเองว่า ตัวเองนี้สามารถปฏิบัติที่นั่นที่นี่ได้ และโกหกคนอื่นอีกด้วย
สุ . ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง รู้ว่ามีกิเลสมาก รู้ว่ากิเลสอยู่ที่ไหน ขณะใด กำลังเห็นอย่างนี้ ถ้าปัญญาไม่รู้ชัดว่าที่กำลังเห็นนี้เป็นแต่เพียงสภาพนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสภาพที่รู้สี ไม่ใช่สภาพที่ได้ยิน ซึ่งก็เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ไม่ใช่สภาพรู้กลิ่น ซึ่งก็เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม มีปรากฏอยู่เป็นปกติทุกวันๆ แต่ขณะใดที่สติไม่เกิดขึ้น ไม่ระลึกรู้ลักษณะนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก
ถ้าจะว่ามีกิเลสมาก ควรที่จะได้ทราบว่า ที่ว่ามีกิเลสมากนั้นคืออย่างไร มีกิเลสมากเพราะขณะใดที่เห็นก็ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะใดที่ได้ยินก็ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะใดที่ได้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีความรู้สึกเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง หรือว่าคิดนึกเรื่องราวต่างๆ รู้ความหมายของสิ่งต่างๆ ในขณะนั้นไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงมีกิเลสมาก เมื่อเป็นผู้ที่มีกิเลสมากเช่นนี้ ทำอย่างไรจึงจะละกิเลสที่มีมากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจให้ลดน้อยลงจนกระทั่งสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมต่างๆ เหล่านั้นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้
เมื่อกิเลสมีในขณะที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ชัด จึงต้องเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เว้น แล้วแต่ว่าสติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แทนที่จะหลงลืมสติและไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งจะทำให้กิเลสเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที
การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันนั้น จะทำให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตรงตามความเป็นจริง และละคลายการที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ แต่ไม่ใช่ว่า สติของผู้หนึ่งผู้ใดจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้นั้นไปสู่สำนักปฏิบัติ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย สติของใครขณะนี้จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ สภาพธรรมที่ปัญญาจะต้องแทงตลอดนั้น คือ สัจธรรมที่กำลังปรากฏทุกๆ ขณะ
กำลังเห็นขณะนี้เป็นของจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า “สัจธรรม” สีที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นของจริงเป็นสัจธรรม ได้ยินที่กำลังมีในขณะนี้เป็นของจริงเป็นสัจธรรม เสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นของจริงเป็นสัจธรรม ผู้ใดรู้ชัดในสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนที่เกิดขึ้นปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ผู้นั้นย่อมสามารถที่จะรู้แจ้งแทงตลอดถึงความเป็นพระอริยบุคคล รู้แจ้งอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ได้ แต่ไม่ใช่ไปทำอาการที่ผิดปกติจากชีวิตประจำวัน ซึ่งบางท่านมีความเข้าใจว่า การเจริญวิปัสสนานั้น ต้องไปทำขึ้นให้ผิดปกติจากขณะนี้
ขอเชิญรับฟัง