Thai-Hindi 03 December 2022
Thai-Hindi 03 December 2022
- (เวลานี้มีเจตสิก) เพราะฉะนั้นถ้าเขาไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีแต่ไม่เคยรู้ให้รู้ตามความเป็นจริง นั่นคือศึกษาธรรม ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ใช่ชื่อ
- ถ้าได้ยินคำแต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร จะมีประโยชน์ไหม
- เขารู้จักเจตสิกแล้ว เขาจึงพูดคำว่า เจตสิก ใช่ไหม
- เดี๋ยวนี้มีเจตสิกอะไร (เวทนา) เวทนาภาษาอะไร (บาลี)
- แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ใช่คำภาษาบาลีว่า เวทนา มีอะไรที่เป็นเจตสิก
- เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คำอะไรเลย มีความรู้สึกไหม เป็นจิตรึเปล่า ต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้นความรู้สึกต่างกับจิตไหม ต่างอย่างไร
- เพราะฉะนั้นจิตรู้สึกได้ไหม เพราะฉะนั้นจิตรู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น รู้แจ้งสิ่งนั้นเป็นอะไรลักษณะเป็นอะไร สีอย่างไร เพราะฉะนั้นลักษณะจริงๆ มีที่จิตเท่านั้นที่รู้ลักษณะจริงๆ นั้น
- และความรู้สึกรู้สิ่งที่ปรากฏอย่างจิตไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีจิตไหม มีเจตสิกไหม มีความรู้สึกไหม
- ขณะนี้จิตรู้แจ้งอะไร (ได้ยินเสียงชัด) ถามว่าขณะนี้จิตรู้แจ้งอะไร (เสียง) ขณะที่กำลังรู้เสียงจิตรู้สึกในเสียงได้ไหม (ไม่ได้)
- และขณะนี้ที่จิตกำลังรู้เสียง หมายความถึงได้ยินเสียง มีความรู้สึกไหม (มี) ความรู้สึกอะไร เป็นยังไง (โทมนัสหรือโสมนัส) ไม่ได้ ต้องมีเพียงหนึ่งเท่านั้น
- ขณะได้ยินเสียง ขณะนั้นมีความรู้สึกอะไร (เคยอ่านหนังสือ จำได้ว่า ได้ยินจะมีความรู้สึกสุกหรือทุกข์ไม่ได้ แต่เป็นอุเบกขา)
- มีประโยชน์ไหมที่เขาไปอ่านและจำคำแล้วนึกขึ้นได้ว่า ขณะนั้นเป็นความรู้สึกเฉยๆ (ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจ)
- เพราะฉะนั้นถ้าเขาไม่คิดถึงหนังสือเลย เดี๋ยวนี้ถ้าเขาจำว่า เพียงขณะที่เห็นต้องมีความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ นั่นเขาจำแต่ไม่มีโอกาสรู้ความรู้สึกเดี๋ยวนี้ที่กำลังได้ยินเพราะเขาเพียงจำ นี่เป็นหนทางเดียวที่จะศึกษาธรรมเพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
- เขาตอบว่า จิตเป็นสภาพรู้แต่ความรู้สึกไม่ใช่จิต นี่เป็นคำตอบแต่ไม่มีโอกาสที่จะรู้จักความรู้สึกซึ่งต่างกับจิตเดี๋ยวนี้ถ้าเพียงจำ
- เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องจิตเจตสิกไม่ใช่เพื่อจำ แต่เพื่อรู้จักสภาพธรรมที่เป็นจิตที่เป็นเจตสิกเดี๋ยวนี้
- ถ้าเป็นแต่เพียงความเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้มีจิตและเจตสิก จิตไม่ใช่เจตสิก เจตสิกไม่ใช่จิต ไม่มีการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ถ้าเพียงจำ
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าพอถามแล้วจำได้ว่าหนังสือบอกจึงตอบเพราะจำตามหนังสือ แต่ต้องตอบตามความเข้าใจจากการที่ได้ฟังว่า ขณะนี้มีธาตุที่รู้แจ้งและอีกธาตุหนึ่งเป็นธาตุที่รู้สึกที่เกิดกับขณะที่จิตรู้
- ธรรมลึกซึ้งไหม ใครก็ตามที่ไม่เห็นความลึกซึ้งของธรรม จะไม่รู้จักธรรม จะไม่เข้าใจธรรมเลย
- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ไม่ลืมคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้จำแต่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามที่ได้เข้าใจแล้ว
- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราจะพูดถึงตัวธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงชื่อเท่านั้น เดี๋ยวนี้มีความรู้สึกไหมความรู้สึกอะไร (มีความรู้สึกที่ดี) ไม่ได้ค่ะ ความรู้สึกที่ดีเป็นยังไง แปลว่าเขาไม่รู้จักความรู้สึก
- ต้องคิดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรองว่า กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ให้รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังเรื่องความรู้สึกว่า เป็นสภาพของสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่จิต เมื่อเดี๋ยวนี้มีจิต ถามว่าขณะนี้รู้สึกอะไร (มีความรู้สึกที่ดี)
- ความรู้สึกที่ดีเป็นอย่างไร (สรุปจากสถานการณ์ว่า ต้องมีโสมนัสเพราะกำลังสนทนาธรรมกันอยู่)
- นี่ไม่รู้จักเจตสิก รู้แต่คำ เพราะฉะนั้นจิตเกิดทีละ ๑ ขณะใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เรียนว่า เราสนทนาธรรม เรากำลังรู้สึกดี แต่เราเรียนเพื่อเข้าใจสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจเลยถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงว่า ขณะนี้มีธรรมที่เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งที่ปรากฏทีละ ๑ อย่าง
- เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้และทรงแสดงว่า จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วดับไป กว่าจะเป็นเรากำลังสนทนาธรรม มีความรู้สึกที่ดี มีจิตนับประมาณไม่ได้
- การที่จะรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ได้ต้องเข้าใจความลึกซึ้งความละเอียด ถ้าไม่เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งของธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีตรัสรู้และทรงแสดง จะดำรงคำสอนของพระองค์ไว้ไม่ได้เลยเพราะไม่เข้าใจ
- เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ทุกคนจะเห็นความลึกซึ้งและจะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เมื่อได้เริ่มเข้าใจถูกต้องจริงๆ อย่างละเอียดในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
- เพราะฉะนั้นต้องละเอียดมาก ฟังดีๆ เดี๋ยวนี้มีความรู้สึกอะไร (มีได้ยิน) นั่นคือ จิตหรือเจตสิก (เป็นจิต) ไม่ลืมนะคะเขาตอบว่า ได้ยิน ความรู้สึกขณะที่ได้ยินมีไหม (มี) ความรู้สึกอะไร (ความรู้สึกดี) ดีหมายความว่าอย่างไร ขณะได้ยินมีความรู้สึกดีในขณะที่ได้ยินนั้นเองหมายความว่าอะไร (เมื่อกี้คิดเรื่องนี้แต่ตอนนี้ตอบตามคำว่าว่าขณะที่ได้ยินรู้สึกเฉยๆ )
- เห็นไหม นี่คือการศึกษาธรรมในขณะเดี๋ยวนี้ที่ได้ยินจะได้รู้ว่า ธรรมทุกขณะที่เกิดขึ้นต้องมีจิต ไม่ใช่ไปจำในหนังสือแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้ฟังให้เข้าใจความจริงที่จะรู้ว่า อะไรเป็นอะไร จิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก ไม่มีเราแต่ต้องมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นจึงจะค่อยๆ รู้ว่าไม่มีเราจริงๆ ได้
- เพราะฉะนั้นตอบได้ไหม ขณะเดียวที่จิตเกิดขึ้นได้ยินขณะนั้นมีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยรึเปล่า (มี) ความรู้สึกอะไร (เฉยๆ ) เพราะอะไร (เพราะเป็นผลของกรรม เป็นวิบากที่ต้องได้ยิน) ที่พูดอย่างนี้เขาฟังมาใช่ไหม (ใช่)
- ได้ยินมา พูดเรื่องวิบาก พูดเรื่องอะไร แต่เดี๋ยวนี้ความรู้สึกอะไร ไม่รู้ เป็นประโยชน์ไหม
- เพราะฉะนั้นต้องรู้ ทุกคำลึกซึ้ง ให้เข้าใจสิ่งที่มี ให้รู้จักสิ่งที่มี มิฉะนั้นจะไม่รู้ความจริงและเข้าใจผิดว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่อยู่ที่จำ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ แต่เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีวันรู้เลย
- การสนทนาความละเอียดเพื่ออบรมการเป็นผู้ไตร่ตรองลึกซึ้ง มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจความจริงได้
- ได้ยินคำมากมายในหนังสือจำได้ โยนิโสมนสิการ การพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคายโดยละเอียด โดยลึกซึ้ง จำได้
- ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพื่อให้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ไม่ใช่ให้จำแต่ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง โยนิโสมนสิการพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบจนเข้าใจมั่นคง
- เพราะฉะนั้นทบทวนอีกครั้ง จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งมีความรู้สึกไหม ความรู้สึกอะไร โยนิโสมนสิการตรงนี้ ไตร่ตรองตรงนี้ ความรู้สึกอะไร (ความรู้สึกเฉยๆ ) เกิดกับจิตขณะไหน (เกิดกับจิตได้ยิน) เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร นี่คือพิจารณาไตร่ตรองโดยละเอียดรอบคอบ โยนิโสมนสิการไม่ได้อยู่ในหนังสือแต่เดี๋ยวนี้
- ยังไม่ได้ยิน กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยไหม (มี) ความรู้สึกอะไร (เฉยๆ ) เปลี่ยนได้ไหม (ไม่ได้) เพราะอะไร โยนิโสมนสิการไตร่ตรองละเอียดรอบคอบลึกซึ้ง (เพราะเห็นหรือได้ยินเป็นผลของกรรมยังไม่ได้เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้นนั่นคือเหตุที่ว่าความรู้สึกที่เกิดกับเห็นหรือได้ยินต้องเป็นความรู้สึกเฉยๆ ) จำมาใช่ไหมที่ตอบ (ใช่)
- เพราะฉะนั้นจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เพราะจำคำได้ไหม (ไม่ได้) แน่นอนแต่ฟังแล้วไม่ใช่ไม่ไตร่ตรองแล้วจะเข้าใจได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังแล้วต้องไตร่ตรอง เห็นความลึกซึ้ง
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็นลึกซึ้งไหม ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าใจความลึกซึ้งเดี๋ยวนี้ไหม
- ความเข้าใจขึ้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อไตร่ตรองละเอียดขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจึงรู้จักพระสัมมาสัพพุทธเจ้าในคำที่พระองค์ตรัสทุกคำที่เราได้ฟัง
- เพราะฉะนั้นอธิบายความลึกซึ้งของคำที่ได้ฟัง คำไหนก็ได้ที่ได้ฟัง เดี๋ยวนี้มีเห็น อธิบายความลึกซึ้งของอะไรก็ได้ที่มีเดี๋ยวนี้ (ได้ฟังว่าเห็นเกิดดับแต่ยังรู้สึกเหมือนไม่ดับเลย)
- เพราะฉะนั้นเริ่มเป็นคนตรง อะไรถูก อะไรผิด (มีเห็นแต่ไม่เข้าใจ) มีเห็นแล้วมีอะไรอีก ไม่เข้าใจก็ถูกเห็นรู้ไหม เข้าใจอะไรอีกที่ว่าถูก นอกจากเห็นเกิดก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็จริง เห็นก็จริง แล้วมีอะไรอีกที่เกี่ยวกับเห็น (นอกจากเห็นมีธรรมอื่นที่เกิดแต่ไม่รู้)
- เพราะฉะนั้นยาวมากเรื่องเยอะ เพราะฉะนั้นเอาเฉพาะที่จะถามให้ตอบมา เห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วดับใช่ไหม
- ไม่ลืม เรากำลังพูด ๑ ขณะจิตเพราะเรื่องราวมากมายเยอะแยะ แต่จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่า เรากำลังพูดถึงจิตเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วดับ มีความรู้สึกเกิดร่วมกับจิตเห็นในขณะที่เห็นไหม ความรู้สึกอะไรเพราะอะไร มีการไตร่ตรองโดยละเอียดแยบคายเพื่อละความไม่รู้ (เท่าที่เข้าใจเพราะเห็นก็เกิดขึ้นแค่เห็น)
- เห็นไหม เพราะฉะนั้นจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ เพียงเห็น ๑ ขณะความรู้สึกที่เกิดร่วมด้วยจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากความรู้สึกเฉยๆ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่เป็นทุกข์เพราะเพียงเกิดขึ้นเห็นนิดเดียวแล้วดับ ความรู้สึกอย่างอื่นเกิดร่วมด้วยไม่ได้ใช่ไหม
- บังคับบัญชาไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ เป็นธรรมทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่มีใครทั้งสิ้นนอกจากเป็นลักษณะของธรรมที่ต้องเป็นอย่างนั้น
- ขณะได้ยินมีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยไหม (มี) ความรู้สึกอะไร (เฉยๆ ) ได้กลิ่นหล่ะ (นั่นก็เป็นความรู้สึกเฉยๆ ) ลิ้มรสหล่ะ กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสหล่ะ (นั่นก็เป็นความรู้สึกเฉยๆ ) จริงหรือ
- นี่คือยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จิต ๑ ขณะเกิดมีความรู้สึกเกิดร่วมด้วยแต่ความรู้สึกนั้นก็ต้องต่างกันตามเหตุตามปัจจัย
- เห็นไฟแรงมาก ร้อนมาก ขณะที่เห็นมีความรู้สึกอะไรเกิดร่วมด้วย (เวลาที่เห็นไฟรู้สึกเฉยๆ ) แล้วเวลาที่ถูกไฟ (เป็นความรู้สึกทุกขเวทนา)
- เห็นไหม ต้องฟัง ไม่ใช่ว่า เอาคำจากหนังสือมาตอบแต่ไม่รู้จักธรรม แต่นี่สิ่งที่มีจริงๆ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม เขาจะต้องเข้าใจตามความเป็นจริงตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้รึเปล่า ไม่ใช่ไปจำคำของพระองค์มาตอบว่า เป็นทุกขเวทนาเวลากระทบสัมผัส เป็นอุเบกขาเวทนาเวลาเห็นได้ยิน ไม่ใช่อย่างนั้นแต่เดี๋ยวนี้มีอย่างนั้นแต่ไม่รู้จึงได้แต่ฟังธรรมแต่ไม่รู้จักธรรม
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงคำไว้มากและมีคนที่ฟังและจำไว้แต่ไม่รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ ชื่อว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึเปล่า
- เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อนและพระองค์ทรงแสดงเพื่อให้เข้าใจ
- เดี๋ยวนี้กำลังจับอะไร มีอะไรปรากฏรึเปล่า ทางกายกระทบอะไร มีอะไรปรากฏรึเปล่า (มี) มีความรู้สึกรึเปล่า (มี) ความรู้สึกอะไร (ตรงที่นั่งมานานแล้วมีความรู้สึกทุกขเวทนา) เป็นยังไงทุกขเวทนา (รู้สึกเจ็บ)
- รู้สึกไม่สบายกายแล้วที่ยังไม่ได้นั่งนานๆ เพียงนั่งเท่านั้นมีความรู้สึกไหม (มีแต่ไม่ได้รู้สึกสบาย สรุปว่ารู้สึกเฉยๆ ) ไม่มีการสรุป ต้องความจริง (แต่ตอนนี้นั่งมานานแล้วจะให้เขารู้ได้อย่างไร)
- ไม่ใช่ให้รู้ ให้เข้าใจ พิจารณาไตร่ตรอง โยนิโสมนสิการเพื่อเข้าใจความถูกต้อง ถ้ามิฉะนั้นเขาผิดทันทีที่จะให้คิดอย่างไร ทำอย่างไร นี่คือความลึกซึ้งของอริยสัจที่ ๔
- ความรู้สึกต่างกันที่สิ่งที่กระทบเพราะเหตุว่า เดี๋ยวนี้เราเห็นไม่มีใครรู้สึกการกระทบเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นการกระทบนั้นจึงทำให้รู้สึกเฉยๆ เพราะเหมือนไม่มีอะไรกระทบเลย เห็นเลย
- แต่ทางกายไม่ใช่อย่างนั้นเลย แม้นิดเดียวก็สามารถรู้กระทบนั้น ไม่ว่าการกระทบนั้นจะเบาสักเท่าไหร่ก็รู้การกระทบเพราะสิ่งที่กระทบนั้น ด้วยเหตุนี้เพราะมีสิ่งที่กระทบแม้เบาที่สุด ความรู้สึกขณะนั้นก็เป็นทุกข์หรือเป็นสุขซึ่งละเอียดมากเพราะสิ่งที่กระทบเบามากแต่ต้องไม่ใช่ความรู้สึกเฉยๆ
- กำลังรับประทานอาหาร รสปรากฏ ไม่แสดงการกระทบของรสเลย เพียงรสปรากฏแต่ถ้ามีอะไรในปากสักนิดหน่อยซึ่งอาจจะเบาเล็กละเอียดสักเท่าไหร่ก็ยังรู้ว่ามีสิ่งที่กระทบ
- เพราะฉะนั้นการกระทบทางลิ้นกับการกระทบทางกายในปากก็ต่างกัน ความรู้สึกจึงต่างกัน
- อาหารเผ็ดจัดมาก รู้สึกอย่างไร (รู้สึกทุกข์) เมื่อกระทบแต่ไม่ใช่เมื่อกำลังรู้รส
- เพราะฉะนั้นต้องเป็นความละเอียดอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า การกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต่างกันเพราะสิ่งที่กระทบต่างกัน
- เปลี่ยนแปลงลักษณะความจริงของธรรมได้ไหม แต่เริ่มเข้าใจความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ใครสักอย่าง ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรทั้งหมดแต่เป็นธรรมแต่ละ ๑
- ถ้าขณะที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งกำลังปรากฏแล้วไม่เข้าใจตรงนั้นจะสามารถรู้ว่า ไม่ใช่เรา ได้ไหม
- เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะละความเป็นเราได้เมื่อไม่รู้จริงในลักษณะที่มีจริงที่กำลังปรากฏเท่านั้น
- เวลาที่ความรู้สึกเกิดขึ้นต้องเรียกว่าเวทนาเจตสิกไหม ถ้ากำลังเข้าใจจะนึกถึงชื่อไหม
- แต่ขณะที่กำลังนึกถึงชื่อเมื่อเข้าใจแล้วได้ไหม ตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ต้องไม่คิดหรือว่าต้องคิด แต่อะไรที่ปรากฏเกิดแล้วตามปัจจัยเปลี่ยนไม่ได้
- ที่ได้ฟังมาแล้ว เข้าใจแล้วมั้ย (ยัง) แต่เริ่มเข้าใจไหมว่า ไม่มีเราเป็นธรรมแต่ละ ๑
- เมื่อเข้าใจว่าเป็นความจริง เดี๋ยวนี้จริงทุกอย่างทั้งหมดที่มีจริงๆ เป็นธรรมที่แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้แต่เมื่อฟังเริ่มรู้ความจริง
- ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วรึเปล่า ทำไมตรง เพราะกำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เพียงแต่คิดถึงคำ
- เพราะฉะนั้นในวันหนึ่งขณะไหนเป็นขณะที่เข้าใจธรรม ถ้าไม่พูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ขณะนั้นจะเข้าใจสิ่งที่มีได้ไหม
- (คุณมานิชอยากจะถามนานแล้วแต่เกรงใจว่า ทุกอย่างที่ท่านอาจารย์สอนมา ท่านอาจารย์เห็นโดยตรงมั้ย) คำตอบนี้จะมีประโยชน์อะไรกับเขา (ไม่มีประโยชน์แต่ทำให้เกิดศรัทธาเพิ่มขึ้น)
- ศรัทธาเพราะได้ยินคำหรือเพราะเข้าใจธรรม (ศรัทธาตอนที่เข้าใจ)
- เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เขาจะเข้าใจผิดหรือเข้าใจถูก เพราะมีหลายคนเขาเป็นพระอรหันต์ เขาเป็นพระโสดาบัน เคยได้ยินไหม
- (ตั้งต้นใหม่เพราะตอนที่อาจารย์ตอบก็มีศรัทธาเป็นแรงจูงใจให้ฟังธรรม ศึกษาธรรมต่อไป) ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขาเพียงต้องการรู้แล้วเขาจะรู้ได้ไหม และถ้าเขาเกิดศรัทธา เกิดศรัทธาในอะไรถ้าเขาไม่รู้
- (คุณมานิชเชื่อท่านอาจารย์ คำตอบของท่านอาจารย์ต้องเป็นคำจริง ถ้าไม่ได้คำตอบก็ไปข้างหน้าต่อไม่ได้) เพราะเหตุว่า นี่เป็นเพราะเขาคิดอย่างนี้จึงมีคนที่คิดอย่างนี้แล้วก็มีคนที่เป็นเหตุให้คนอื่นบอกว่า เขาเป็นพระโสดาบัน เขาเป็นพระอรหันต์ เขาพอใจไหม
- ให้เขาไปไตร่ตรองแล้วพร้อมที่จะคุยคราวหน้า ขอบคุณคุณสุคินที่ช่วยให้เขาเข้าใจธรรม