ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๐

 
khampan.a
วันที่  11 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45333
อ่าน  1,404

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๐



~
เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลสเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าจะตามฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ

~ ความตายจะเกิดขึ้นได้ในวันหนึ่งวันใด ขณะหนึ่งขณะใด ช้าหรือเร็ว ชาติหน้า อาจจะเป็นขณะต่อไป หรือวันต่อไป หรือสัปดาห์ต่อไป เดือนต่อไป ปีต่อไป ก็ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ เพราะไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลย ว่า ชาติหน้าของใคร จะเป็นเมื่อไร

~ ปัญหาทั้งหมดที่เป็นเหตุให้ทำในสิ่งที่ผิด เกิดจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ก็ทำสิ่งที่ผิดเป็นอย่างนี้เสมอไป ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น หนทางเดียวที่จะช่วย ก็คือ ให้เขาได้เข้าใจพระธรรมถูกต้องแล้วเขาก็จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่รู้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น หน้าที่ ก็คือ ขอให้เราได้มีส่วนทำให้เขาได้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเขา

~ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคลผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว

~ ยากที่จะค่อยๆ น้อมใจไปในความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะว่า วันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยชีวิตเดิม ไม่รู้อย่างเดิม ต้องการอย่างเดิม ไม่เห็นว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ หาใช่เราไม่ แล้วเป็นอะไร ยากไหมที่จะรู้ว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร? เป็นธรรม

~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

~ ขณะใดที่เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนั้น รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ถ้าไม่รู้คุณ จะบูชาได้ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณแล้ว ทุกอย่างที่กระทำ ก็กระทำด้วยการที่จะเป็นไปเพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของทุกคนที่ตรงตามพระธรรมวินัย ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ อวิชชา คือ ความไม่รู้ วิชชา คือ ความรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อ วิชชา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เกิด มีหรือที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะความรู้ แต่เนื่องจากความไม่รู้ ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เกิดจากปัญญา แต่เกิดจากอวิชชาที่สะสมมา ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ความที่จะประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ผิด ก็ยังมี จนกว่าจะดับอวิชชาหมด

~ เกิดมาแล้วให้อะไรกันก็มากมาย สิ่งนั้นก็หมดไป ให้เงิน เงินก็หมดไปใช้หมดไป ให้อาหาร อิ่มแล้วก็หมดไป ทุกสิ่งทุกอย่างหมดไป แต่ถ้าให้ความเข้าใจถูก ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่ง อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกซึ่งไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุดที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย

~ มิตรไม่เคยนำโทษใดๆ ไปให้ใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความเป็นมิตร คือ ใครก็ตามที่เข้าใจผิด เราก็กล่าวสิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ตามความสามารถที่จะกระทำได้อย่างดีที่สุด เพราะหวังดีต่อคนที่ไม่ได้ศึกษาแล้วก็ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จะได้สำนึก

~ ข้อความที่ว่า “ฆ่าความโกรธเสียได้ จึงจะอยู่เป็นสุขฟังดูก็ถูกต้อง ซาบซึ้ง แต่เวลาโกรธเกิดขึ้นทันที ระลึกถึงคำที่ไพเราะนี้ไหม ที่ว่า "ฆ่าความโกรธเสียได้ จึงอยู่เป็นสุข" แต่อาจจะคิดว่า ต้องโกรธต่อไป ชอบ ต้องโกรธ พอใจที่จะโกรธ ต้องโกรธอีก ขณะนั้นไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่รังเกียจ ไม่กลัวในอกุศลธรรมซึ่งเป็นความโกรธในขณะนั้นเลย แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะซาบซึ้งในพระธรรมสักเท่าไรก็ตาม ยังไม่เป็นประโยชน์เท่ากับขณะที่ระลึกได้และน้อมประพฤติปฏิบัติตามทันที

~ ใครเป็นใคร เขาก็ต้องได้รับผลของเหตุที่ได้กระทำแล้วทั้งนั้น ใครก็ไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรามีจิตเมตตาได้ เห็นโทษภัยใหญ่หลวงซึ่งเขาไม่เห็น แต่เพราะเขาไม่เห็น เขาจึงทำสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเห็นโทษภัยของสิ่งที่ไม่ดีแล้ว จะไม่มีใครกล้าทำสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะโทษมหาศาล แต่เพราะไม่รู้เขาจึงทำ

~ โอกาสของกุศล ไม่ง่าย หายาก ถ้าไม่เกิดเดี๋ยวนี้ ก็ไม่เกิดแล้ว หมดไปแล้วขณะนั้น จะเรียกร้องกลับคืนมาให้เราเป็นกุศล ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีการขวนขวาย วิริยะมากขึ้นในการที่จะไม่เป็นเราแล้วก็ทำสิ่งที่ดี เพื่อละความเป็นเราที่เคยไม่ดี

~
ถ้ามีปัญญา ก็ย่อมไม่ทำให้เดือดร้อน ใครจะโกรธสักเท่าไหร่ ใครจะเดือดร้อนสักเท่าไหร่ เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่มีเรา

~
กว่าความเข้าใจในความไม่ใช่เรา จะเริ่มมีทีละเล็กทีละน้อย ตามความเป็นจริง คือ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปหวังว่าจะไปทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะรู้โดยที่ชีวิตประจำวันไม่รู้เลยว่านี่แหละคือธรรมจริงๆ เกิดแล้วจริงๆ ปรากฏให้รู้จริงๆ

~
ชีวิตประจำวัน ขณะนี้ที่ขาด คือ ขาดปัญญา ที่มากคือมากด้วยความไม่รู้ และกว่าจะค่อยๆ รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ วันนี้ลองเทียบส่วนดู อะไรจะมากกว่ากัน แต่ก็มีความอดทน มีความเพียรมีความมั่นคงว่าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะได้พิจารณาแล้วว่านี่จริง จริงคือไม่มีเรา

~ สิ่งที่มีค่าที่สุดทีละน้อยเพียงใด ก็มีค่า คือ ความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง

~ ปัญญาเห็นผิดมีไหม? ไม่มี ฟังธรรมถูกหรือผิด? ถูก เพราะฉะนั้น ปัญญามีความเข้าใจประโยชน์ของธรรมจึงฟังธรรม ใช่ไหม? ก็เป็นหน้าที่ของปัญญาคือความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงทำสิ่งที่ถูกต้อง

~ เกิดมาชั่วคราวทุกขณะ และแต่ละขณะนั้นเป็นเหตุที่จะติดตามไปเมื่อเป็นกุศลและอกุศล แค่นี้ก็พิจารณาได้แล้ว ใช่ไหม แล้วจะสะสมกุศลหรืออกุศล? ถ้าจะสะสมกุศล ก็ต้องมีความเข้าใจธรรมด้วย เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็มีกุศลที่ไม่ทำให้ถึงการดับกิเลส ก็ยังคงเกิดตายๆ ชาติแล้วชาติเล่า เดี๋ยวเป็นนั่น เดี๋ยวเป็นนี่ เดี๋ยวเป็นโน่น ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด แล้วก็ชั่วคราว คือ เป็นแล้วก็ไม่กลับมาเป็นอีกเลย เป็นได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ไม่ทรงแสดงพระธรรมใครจะเข้าใจคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ ว่า เกิดมาแล้วต้องตาย และจะจากโลกนี้ไป จะเป็นคนที่ดีจากไป หรือ เป็นคนที่ชั่วจากไป? ก็เป็นเรื่องที่พิจารณาไตร่ตรองได้ ว่า ตายเย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าก็ได้ ไม่มีใครบอกได้ล่วงหน้าเลย

~ การเกิดมา มีทรัพย์สมบัติ สูญหายเมื่อไหร่ก็ได้ มีรูปสมบัติ ก็ต้องแก่ชรา มีอุบัติเหตุหรืออะไรก็ได้ที่ทำลายให้สูญไป ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุดไม่พ้นจากความดีและการเข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นอกุศลคือสิ่งที่ไม่ดี จะเข้าใจได้อย่างไร?

~ ไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรมโดยละเอียดยิ่ง เพราะเหตุว่าพระธรรมลึกซึ้ง แค่นี้ก็เตือนแล้วว่า ต้องพิจารณา ต้องไตร่ตรอง ทุกคำ ต้องสอดคล้อง เพราะเป็นความจริง อนัตตาต้องเป็นอนัตตา ความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ต้องมั่นคงว่า ไม่มีใครเลย แล้วจะไปทำอะไร นอกจากสภาพธรรมทั้งหมดเลย ขณะนี้กำลังเกิดดับทำกิจการงานของสภาพธรรมอยู่

~ ขณะใดก็ตามที่ขุ่นใจใคร ขณะนั้น ไม่เมตตา จึงโกรธได้ อยู่ดีๆ ก็โกรธเขาได้ ถ้าไม่มีเชื้อของความโกรธในใจมามากมาย จะโกรธเขาไปได้เรื่อยๆ หรือ? เห็นคนนี้ก็ไม่ชอบ เห็นคนนั้นก็ไม่ชอบ โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี ทั้งวัน แล้วอย่างไร? จะไปสวดเมตตา จะไปท่องเมตตา หรืออะไร ก็ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ปัญญาเท่านั้น ที่สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงในทุกอย่าง



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๙



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปทุม
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

กราบขออนุโมทนาในกุศลจิตด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
capacitor4
วันที่ 11 ธ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณอ.คำปั่น และกราบยินดีในความดีทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 12 ธ.ค. 2565

พึงฟังธรรม ฟังคำพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความเมตตาของท่านอาจารย์สุจินต์ ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ธ.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
sanit99141@gmail.com
วันที่ 13 ธ.ค. 2565

กราบขอบพระคุณมากครับ สาธุอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 14 ธ.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ