ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๑
~ การสนทนาธรรม เป็นมงคลอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัทที่จะพร้อมเพรียงกันแล้วก็สนทนา เพื่อให้ได้รับความกระจ่าง เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องเปิดเผย แล้วก็ตรงต่อความเป็นจริง ผิดก็คือผิด ให้ผิดเป็นถูก ไม่ได้ และถูกก็ต้องถูก ใครจะบอกว่าสิ่งที่ถูกเป็นผิด ผู้นั้นก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้น สัจจบารมีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีสัจจบารมี ก็หลงผิดเข้าใจว่าสิ่งที่ผิดเป็นถูก
~ รู้ว่า ธรรม ยาก ลึกซึ้ง ก็ฟังต่อไป พิจารณาต่อไป เพราะไม่มีใครจะไปทำให้ปัญญาความเข้าใจเกิดขึ้นมากกว่านี้ได้ นอกจากแต่ละครั้งที่ได้ฟังแล้ว เป็นผู้ตรง เข้าใจแค่ไหนก็ตามเหตุตามปัจจัย จึงฟังอีก เพราะถ้าไม่ฟังอีก ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมากกว่านี้ได้
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ลึกซึ้ง ต้องเริ่มด้วยการที่ว่าขณะที่กำลังฟัง คำเดียวเข้าใจจริงๆ หรือยัง ขอให้เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา นั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ เป็นความจริงที่ว่าเมื่อเกิดมาแล้ว ทุกคนก็ยังมีกิเลส ในชีวิตประจำวันจะเห็นได้จริงๆ ว่ายังเป็นไปตามกำลังของกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสเกิดเลยในวันหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่ทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือ ไม่ทอดทิ้งการศึกษาการฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถระลึกได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ
~ ธรรมทั้งหมดเลย มีจริง แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงว่าไม่มีเรา จะทำให้เกิดความเบาสบายขึ้นอีกไหม? ไม่เดือดร้อนเลย เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นแล้วแต่จะเป็นอะไร บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุ แต่ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย เป็นธรรมที่ต้องเกิดขึ้นเป็นไป คือ เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอีกเลย นี่แหละ คือ ความจริงแท้
~ มีวัตถุสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เพียงโกรธคนนั้น การให้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า โทสะ กั้นกุศลแล้วในขณะนั้น ทั้งๆ ที่มีความประสงค์จะฟังพระธรรม แต่ก็ง่วง ทำให้ฟังต่อไปไม่ได้ ความง่วง ก็กั้นกุศลแล้วในขณะนั้น
~ ทุกคนโกรธ โกรธอะไร ไม่มีประโยชน์ โกรธเห็น โกรธได้ยิน โกรธคิ้ว โกรธตา โกรธทำไม ก็เพราไม่รู้ ก็รวมสิ่งนั้นว่าเป็นคน เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เสียเวลาไหม โกรธอะไร เขาไม่เดือดร้อนเลย คนที่เราโกรธไม่เดือดร้อน แต่ผู้โกรธนั่นแหละเดือดร้อน เพราะกิเลสของตนเอง
~ งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่าอย่างไร? ต้องมีความเข้าใจด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ จะชื่อว่างอกงามไหม? เพราะฉะนั้น งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่า มีความเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีกายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ก็จะงอกงามไม่ได้ จะนำมาซึ่งความสุขไม่ได้
~ เมตตา คือ การคิดถึงบุคคลอื่นด้วยความเป็นมิตร แล้วพร้อมที่จะทำประโยชน์ให้คนนั้น เพราะฉะนั้น ทานก็มีเมตตาเป็นพื้นฐาน บารมีทั้ง ๑๐ นี้ เกื้อกูลกันทั้งหมด ไม่ได้แยกจากกัน เพราะแม้แต่ทาน ต้องอาศัยขันติ ความอดทนด้วย ต้องอาศัยวิริยะ ความเพียรด้วย ถ้าขาดวิริยะ ทานก็สำเร็จไปไม่ได้ หรือบางครั้ง ขาดความอดทน ทานก็เกิดขึ้นไม่ได้เหมือนกัน
~ ถ้าไม่สามารถให้อภัยคนที่ไม่ชอบ กุศลอื่นๆ ที่จะเจริญขึ้นได้จากคนที่ไม่ชอบนั้น ย่อมเกิดไม่ได้ แม้วัตถุทานที่จะให้บุคคลนั้น ก็ให้ไม่ได้ เพราะไม่ให้อภัย หรือแม้แต่ธรรมทานซึ่งจะสนทนาธรรมเกื้อกูลแนะนำให้เข้าใจสิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน
~ อย่าไปตัดรอนกุศลของใคร เพราะเหตุว่า กุศลเกิดยาก ถ้าเราตัดรอน หมายความว่า เราขัดขวางที่เขาจะได้รับผลของกุศลข้างหน้า ถ้าจะห้ามอกุศล ก็ช่วยกันห้ามเถอะ แต่กุศล อย่าช่วยกันห้าม
~ ถ้าเห็นกำลังของอกุศล ก็จะรู้ว่า ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลจริงๆ แม้กุศลเพียงเล็กน้อย นิดหน่อย ในชีวิตประจำวัน กำลังเผชิญหน้า ทำทันที ไม่ต้องคอยเลย
~ ถ้าท่านเห็นว่า ผรุสวาจา (พูดคำหยาบคาย) ไม่ดี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน โทมนัสเสียใจ ท่านเองก็ไม่อยากจะได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะยับยั้ง ขัดเกลา บรรเทาเสียตั้งแต่ในชาตินี้ เพื่อที่จะได้ไม่ติด ไม่สะสมจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีวาจาที่คนอื่นฟังแล้วไม่สงบใจ อาจจะคิดมากหรือว่าเดือดร้อนใจไปนาน
~ ธรรมมีหลากหลาย ธรรมที่ไม่ดี ก็มี ความชั่วต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ทุจริตเบียดเบียนกัน ริษยา มานะ (ความสำคัญตน) มากมาย แล้วธรรมที่เป็นฝ่ายดี ก็มี แล้วถ้าไม่มีปัญญา สามารถที่จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างนี้ไหม? เพราะว่า หลายคนเข้าใจว่าสิ่งที่ไม่ดีนั่นแหละดี แต่ว่าปัญญา ต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วธรรม ก็ตรง เปลี่ยนไม่ได้
~ ใครก็ตาม ที่ไม่ชอบเราว่าเรา นั่นคือ โทสะ ของเขา แล้วทำไมจะไปเดือดร้อน เห็นไหม? ความไม่รู้ทำให้เดือดร้อนว่าเขาว่าเรา เพราะไม่รู้ ใช่ไหม? แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา ขณะนั้น ไม่เอาโทษมาใส่ตนเอง คือ ไม่เป็นปัจจัยให้กิเลสที่สะสมมาเพิ่มความเป็นตัวตนขึ้น เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นจากการที่เริ่มเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา กุศลทั้งหมด จะเจริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
~ ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย เพราะปัญญารู้ว่าถ้าอกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภ การแข่งดี มายา หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็พอกพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ระลึกได้แล้วก็เป็นกุศล สิ่งที่ไม่เคยทำ ก็ทำ เพราะกุศลจิตเกิด สามารถที่จะช่วยเหลือ อนุเคราะห์ สงเคราะห์หรือพูด หรือ ทำอะไรก็ได้ ในทางกุศลเพิ่มขึ้นเพราะปัญญา
~ ไม่มีใครปรารถนาทุกข์ แต่ทุกคนมีทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ด้วยว่า อะไรเป็นเหตุของทุกข์ เหตุของทุกข์คือโลภะนั่นเอง เมื่อมีความปรารถนาสุข เมื่อมีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วไม่ได้ความสุขที่ต้องการ ขณะนั้นจึงเป็นทุกข์ แต่ลองคิดถึงผู้ที่ไม่มีความปรารถนาอะไรเลย ดับความปรารถนาหมด ผู้นั้นจะเป็นทุกข์ได้อย่างไร
~ ทุกข์มาจากกิเลส เพราะฉะนั้นทุกคนมีกิเลสเยอะ แสวงหามากๆ แสวงหาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่า นั่นคือ ทุกข์จริงๆ เพราะเหตุว่า จะนำมาซึ่งความไม่พอ โลภะเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แล้วเป็นเหตุให้เกิดโทสะด้วย แล้วเราก็อยู่ในโลกของสังสารวัฏฏ์ เพราะว่ามีเหตุที่จะให้เกิด คือ โลภะยังเต็มเพียบอยู่ เราก็จะต้องเกิดต่อไป
~ ถ้ารู้ความจริงของธรรม ถ้าเกิดพลัดพรากจากคนที่เป็นที่รัก จะเดือดร้อนไหม เป็นธรรมดาหรือเปล่า พลัดพรากมาแล้วนานเท่าไหร่ ชาติก่อนๆ ก็พลัดพรากจากชาติก่อนหมดเลย ไม่เหลือเลย ชาตินี้ก็พลัดพรากอยู่ทุกขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ซึ่งไม่เหลืออีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็พลัดพรากโดยตลอด เดือดร้อนไหม ถ้าเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น?
~ ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองไม่ดี ความไม่ดี ก็เพิ่มขึ้น จนสามารถจะถึงอย่างท่านพระเทวทัตได้ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ประมาทแม้ความชั่วเพียงเล็กน้อย และไม่ประมาทแม้ความดีเพียงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่เล็กน้อยนี่แหละ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนมาก
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณ อ.คำปั่น กราบยินดีในกุศลทุกท่านค่ะ
เข้าใจธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ แจ้งให้เรา (จิตและเจตสิก) ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนเข้าใจ และเข้าใจเพิ่มขึ้น จนประจักษ์แจ้ง นำสู่ละความเป็นเรา ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ