ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๔

 
khampan.a
วันที่  8 ม.ค. 2566
หมายเลข  45465
อ่าน  1,108

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๔



~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร หรือไม่ควร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย

~ สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด คือ มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งกว่าจะรู้ได้แสนนาน ไม่หวัง นี่เป็นหนทางที่จะละความหวัง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเลย ความไม่รู้ก็จะนำไปสู่ความไม่ดีทั้งปวง เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจเท่าไหร่ ก็ย่อมนำความดีมาให้ทั้งกาย วาจา สะสมไปที่จะขัดเกลาไม่ให้กิเลสทับถมมากมาย จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงจนกระทั่งประจักษ์แจ้งในวันหนึ่ง

~ ขณะใดที่กุศลมีกำลัง ขณะนั้นอกุศลก็เกิดไม่ได้ แต่กำลังก็ต้องค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น แม้แต่กำลังที่จะมาฟังธรรม มีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าขณะใดที่ไม่ได้มาฟังธรรม หรือ ไม่ได้ฟังธรรม อะไรมีกำลัง ก็คือ อกุศลมีกำลัง แล้วทั้งกุศล และ อกุศล มาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่ค่อยๆ เกิดค่อยๆ มี เพิ่มมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ คนที่มีกิเลสมากๆ แล้วกิเลสลดน้อยลง หรือ สามารถดับได้อย่างเด็ดขาด ด้วยอะไร? ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก

~ ให้ทราบว่า กิเลส ละเอียดมาก ที่ปรากฏให้เห็นในแต่ละวัน ที่เรารู้ว่ามากมายมหาศาล ยังน้อยกว่าความเป็นจริง เหมือนกับสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร เมื่อไม่โผล่ ก็ไม่เห็น

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ เรื่องของอกุศลธรรม เป็นสิ่งที่มีมาก และถ้าไม่ทราบจริงๆ ว่า ตัวท่านมีอกุศลมากเพียงไรแล้ว การที่จะละกิเลสย่อมเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วในวันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลธรรมหลายประการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า ท่านเป็นผู้ที่ยังมีอกุศลธรรมที่จะต้องละคลาย ขัดเกลาจนกว่าจะดับสิ้นเป็นสมุจเฉท (ตัดได้อย่างเด็ดขาด)

~ กิเลสมากมาย เหนียวแน่น หนาแน่น และติดแน่นด้วยอยู่ในจิตเลย ที่จะเอาออกไปได้ไม่ใช่วิสัยของอกุศล แต่ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจถูกต้อง และอบรมคุณความดีทุกอย่าง

~ การกล่าวถึงสิ่งที่ผิดว่าผิด การกล่าวถึงสิ่งที่ถูกว่าถูก เป็นการอนุเคราะห์คนอื่น ด้วยความเป็นมิตรด้วยความหวังดีที่จะให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด

~ ถึงเวลาที่จะให้ทุกคนที่ไม่รู้พระธรรมวินัยได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด เมื่อเป็นผู้ที่ตรง ก็จะได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำสิ่งที่ถูกต้อง คือ สิ่งใดที่ผิดจากพระธรรมวินัย ก็ไม่ส่งเสริม ทุกคนถ้าเข้าใจถูก ก็พูดถูก ทำถูก

~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม

~ สิ่งที่ควรกลัว ไม่ควรทำ ก็คือ อกุศล

~
ชีวิตก็มีแค่นี้ ไม่มากมายมหาศาล เดี๋ยวก็จบแล้ว จะจบวันไหนก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะจบ ก่อนจะจาก ขอให้เป็นผู้ที่ได้ขัดเกลากิเลสแล้วก็สามารถที่จะมีเมล็ดพืชของความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อที่จะมีการเจริญเติบโตทุกชาติๆ ไป

~ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นเรา หรือจะเป็นของใคร ไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องเกิดอีก ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของความไม่ดี ชาตินี้ก็เป็นคนดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ ด้วยการเข้าใจธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ อยู่ไปในความเป็นเราโดยตลอดในสังสารวัฏฏ์จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วคนที่ได้ฟังคำของพระองค์
ก็รู้ความจริงเหตุที่จะทำให้ละอกุศล คือ รู้ความจริง

~ แต่ละคนก็คิดต่างกัน ถ้าคิดถึงความตาย คนหนึ่งคิดต่อไปว่าอย่างไร อีกคนหนึ่งคิดต่อไปว่าอย่างไร ก็แล้วแต่การสะสม แต่ให้เห็นว่า ถ้ารู้ว่าทุกคนต้องตาย แล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรดีเท่ากับทำความดีทันทีเท่าที่จะทำได้ เพราะว่า ส่วนใหญ่เรามักจะประมาทแล้วก็รอเวลาที่จะทำดี

~ ขณะที่ไม่ให้อภัยเป็นโทษกับใคร? ก็เป็นโทษกับผู้นั้น ก็สะสมไปใครๆ ก็เอาออกไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ให้อภัย เพราะฉะนั้น ปัญญาเห็นโทษของอกุศล รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น และ กั้นกุศลด้วย

~ เบิกบาน เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เทียบไม่ได้กับได้สมบัติมาหน่อยหนึ่งก็เบิกบานใจ ได้อาหารอร่อยมาหน่อยหนึ่งก็เบิกบานใจ เทียบไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า คำสอนจะอันตรธาน (สูญสิ้น) ถ้าไม่มีใครเข้าใจ แน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจแล้วก็ช่วยให้คนอื่นพ้นจากความเห็นผิด เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป และก็เป็นผู้ที่รู้ว่า ความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้

~ ทั้งชีวิตถ้าสามารถที่จะช่วยให้ใครได้มีโอกาสเข้าใจถูกต้อง ก็เท่ากับทำให้เขาพ้นจากความเห็นผิดอีกมากมายมหาศาลที่จะต้องเกิดขึ้นในสังสารวัฏฏ์แล้วก็เห็นผิดไปอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะได้ฟังคำที่ถูกต้อง ต้องไม่ประมาทแล้วก็รู้ว่าคุณค่าของการที่ได้เกิดมา ก็คือ ตรงที่ได้เข้าใจธรรม เพราะทุกอย่างหมดแล้วแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

~ คนส่วนใหญ่ชินต่อการที่จะตาม แต่ไม่ชินกับการที่จะไตร่ตรองคิดนึกละเอียดจนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรถูก อะไรผิด

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ลึกซึ้งเพียงใด ตลอด ๔๕ พรรษา เพื่ออนุเคราะห์คนที่ไม่ยังได้เข้าใจธรรม ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ เราไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ทุกขณะมีค่าจริงๆ เพราะเหตุว่า ความเข้าใจขณะนี้หนึ่งขณะก็จะทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากขึ้น เพราะถ้าขาดหนึ่งขณะเดี๋ยวนี้ จะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร และไม่มีอะไรที่จะดีในการที่ยังมีชีวิตต่อไปเท่ากับการที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริงซึ่งไม่สามารถที่จะคิดเองได้ นอกจากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้น

~ จาคะ คือ การสละ ตั้งแต่เริ่มสละวัตถุซึ่งไม่ยากเท่ากับสละความเป็นเรา ความเป็นตัวตน เพราะความเป็นตัวตน มากมายมหาศาลแล้วก็เหนียวแน่นมาก

~ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นเรา หรือจะเป็นของใคร ไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องเกิดอีก ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของความไม่ดี ชาตินี้ก็เป็นคนดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ ด้วยการเข้าใจธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ เกิดมาแล้ว จากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ว่าขอให้ได้เป็นคนดี และเข้าใจธรรม แต่ไม่ลืมความเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) ทำอย่างดีที่สุด ผลจะเป็นอย่างไร ก็เป็นอนัตตา แต่จะห้ามไม่ให้ทำความดีได้ไหม ในเมื่อสะสมมาที่เห็นคุณของความดี คนนั้นก็จะทำสิ่งที่ดี

~ กิเลสทั้งหลาย อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ใจ ใครก็เอาออกไม่ได้ ความไม่รู้ และกิเลสทั้งหมดที่สะสมมา ดี ชั่ว อยู่ที่ใจ แต่สิ่งที่ควรพลัดพรากจากไป ก็คือ อกุศล และความไม่รู้ ใครเอาออกไปได้ไหม ถ้าไม่ใช่ปัญญา
(ความเข้าใจถูกความเห็นถูก)

~ อวิชชา คือ ความไม่รู้ วิชชา คือ ความรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อ วิชชา คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เกิด มี หรือที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะความรู้ แต่เนื่องจากความไม่รู้ ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เกิดจากปัญญา แต่เกิดจากอวิชชาที่สะสมมา ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ความที่จะประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่ผิด ก็มี จนกว่าจะดับอวิชชาหมด




ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๓





...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 8 ม.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 8 ม.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 8 ม.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปวีณา
วันที่ 9 ม.ค. 2566

กราบขอบพระคุณในความเกื้อกูลของท่าน อ ทุกท่านที่ได้ให้ความเข้าใจถูก เห็นถูกในคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า....กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Junya
วันที่ 9 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบอนุโมทนาอาจารย์คำปั่นมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 11 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดียิ่งในกุศลจอง อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 11 ม.ค. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
xaychlisaengthxng7
วันที่ 16 ก.พ. 2566

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์ และกัลยาณมิตรทุกท่าน

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ