Thai-Hindi 11 February 2023
Thai-Hindi 10 February 2023
- (คราวที่แล้วพูดเรื่องภวังค์ ในชีวิตประจำวันเป็นภวังค์ตลอดแล้วมีวิถีจิตแทรกคั่น)
- ก็ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเขาสงสัยมั้ยว่าเวลาเห็นแล้วขณะนี้จบต้องมีภวังค์คั่นก่อนอย่างอื่นมิฉะนั้นชีวิตก็ดำเนินต่อไปไม่ได้
- เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ ก็คือมีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ธาตุรู้เกิดขึ้นยังไม่ได้เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ลิ้มรส ยังไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบกาย ยังไม่คิดนึก ขณะแรกคือจิตที่ใช้คำว่าเกิดคือ “ปฏิสนธิ” ทำกิจเกิดขึ้นตามกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้ว
- ไม่มีใครเลย ไม่มีเทวดา ไม่มีนก ฯลฯ แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้นต่างๆ กันไปตาม “อวิชชา” ความไม่รู้ก่อนๆ ที่ทำให้เกิดความคิดนึกที่ทำให้เกิดกรรมต่างๆ จนกระทั่งทำให้เกิดชาติหนึ่งแล้วการกระทำที่ได้ทำไว้แล้วเป็นปัจจัยให้สภาพธรรม ๑ เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งตามการสะสมหลากหลายมาก เขามีข้อสงสัยมั้ยตอนนี้
- (พูดถึงอวิชชา หลังจากฟังธรรมแล้วก็รู้ว่า อวิชชามีเยอะมากตลอดเวลา บางครั้งบางคราวมีการระลึกได้เมื่อได้ฟังธรรมมาก่อน ระลึกได้ว่า ความจริงตอนนั้นคืออะไรและมีการคิดถึงธรรมบ้าง แต่คิดถึงแป๊บเดียวก็อวิชชาอีกแล้วก็รู้ว่าอวิชชาเยอะมากและเป็นปัญหาจริงๆ )
- ไม่ได้ถามอย่างนั้นเลย ฟังธรรมต้องละเอียดมาก เรากำลังพูดถึงจิตที่เกิดขึ้นขณะแรกเป็นสภาพรู้ ยังไม่มีการเห็น ไม่มีการอะไรเลยทั้งสิ้น จริงมั้ย เข้าใจมั้ย ๑ ขณะของจิตที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตามกรรมที่ทำให้จิตที่เกิดนั้นแม้เกิดขณะแรกก็ต่างกันทั้งหมด
- เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกมุ่งหมายให้เข้าใจสิ่งที่มีไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นตั้งแต่ขณะแรก ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่อาคิ่ล ไม่ใช่อาช่า ไม่ใช่อะไรเลยแต่มีธาตุรู้ซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ โลกปรากฏทุกอย่างเพราะมีธาตุรู้ เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดให้ “ถึง” ลักษณะที่เป็นธาตุรู้เดี๋ยวนี้ให้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพื่อละอวิชชาแต่เราไม่ได้บอก “อวิชชาเป็นอะไร จะละยังยังไง ฯลฯ ” อันนั้นเป็นเรื่องราว แต่ขณะนี้อวิชชาแน่นอนที่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏและสิ่งที่กำลังปรากฏที่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพธรรมที่เริ่มตั้งแต่เกิดขณะแรกเป็นธาตุรู้ ต้องมั่นคงว่า ต้องมีธาตุรู้เกิด ถ้าไม่มีธาตุรู้อะไรๆ ก็ไม่มี ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะแรกที่เป็นธาตุรู้เกิด ขณะนั้นแม้ไม่มีการเห็น การได้ยินเลยแต่มีธาตุรู้ เราพูดอย่างนี้ทำไม เพื่อให้เริ่มถึงความเป็นธาตุรู้เท่านั้น
- เพราะฉะนั้นเราไม่พูดยาวพูดเต็มหมดตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทั้ง ๓ ปิฎก แต่ไม่รู้ธาตุรู้ที่กำลังรู้เดี๋ยวนี้ หนทางอะไรที่จะทำให้ “เข้าถึง” การรู้ธาตุรู้ได้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งไม่ใช่พูดพระไตรปิฎกทั้งหมดเรื่องราวทั้งหมดแต่เดี๋ยวนี้แม้ธาตุรู้ที่เป็นธาตุรู้ก็ไม่รู้
- เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดเรื่องอื่นก็ไม่เข้าใจ เขาสนใจในเรื่องแต่ถ้าพูดสั้นๆ ถามให้คิดเขาจะได้มีความเข้าใจที่มั่นคง อันนี้สำคัญที่สุดว่า แม้แต่คำว่า “ธาตุรู้” ยังไม่ต้องไปถึงอวิชชา ยังไม่ต้องไปถึงอะไรทั้งหมด มีมั้ย
- (ทุกคนเห็นด้วยว่ามี) เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปยาว เอาทีละคำ เริ่มมาถึงคำนี้ (ธาตุรู้) ที่จะรู้ว่ามีแต่จะรู้ได้ยังไง เราอธิบายสั้นๆ ให้คิดไตร่ตรองเพราะส่วนใหญ่คนจะรู้เรื่องเยอะแต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงเลยว่ากำลังเป็นอย่างนั้น
- เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีตั้งแต่เมื่อไหร่ (ตอนเกิดจิตแรกในชีวิต) แสดงว่า ต้องมีธาตุรู้เกิดแน่นอนแต่ขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบกาย ไม่ใช่คิดนึก
- เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้จักธาตุรู้ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริงว่า มีธาตุรู้ชาตินี้เริ่มตั้งแต่ขณะแรกที่เกิดเป็นธาตุรู้ที่เกิด
- แล้วจะรู้จักธาตุรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีใครตอบมั้ย? (ไม่มีวันรู้)
- ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีแต่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกเท่านั้นหรือ (มีอย่างอื่นด้วย) เมื่อไหร่? (ตอนนอนหลับ) ถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นว่า แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึกก็มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
- (แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ฯลฯ เมื่อมีปัจจัยก็ต้องมีจิตเกิดขึ้นรู้) ดีมาก เก่งมาก จำไว้เปลี่ยนไม่ได้
- (คุณมานิชขออภัยก่อนว่า คำถามไม่ตรงกับเรื่องที่สนทนาแต่สงสัยมานานว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ความจริงที่ละเอียดหรือว่าเป็นการสรุปจากความเข้าใจของพระองค์) เพราะฉะนั้นเป็น “หน้าที่” ของคุณมานิชที่จะต้องฟังคำและพิจารณาว่า สิ่งที่กำลังได้ยินมาจากความคิดนึกหรือมาจากความรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
- (เข้าใจว่าฟังธรรมต่อไปแล้วจะเข้าใจเอง จะได้คำตอบจากความเข้าใจของตัวเอง) ไม่ใช่อย่างนั้นต้องพิจารณาว่า แม้แต่คำว่า “ธาตุรู้” ถ้าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ จนประจักษ์แจ้ง จะกล่าวได้มั้ยว่าเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้จึงมีสิ่งที่ถูกรู้ปรากฏ
- (คุณมานิชเข้าใจว่า คำถามที่ถามไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ คำถามด้วยความสงสัยขณะนั้นก็หลงลืมจุดประสงค์ของการฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงที่ปรากฏ แม้จะคิดว่าคำถามไม่เสียหายแต่ขณะนั้นหลงลืมว่าขณะที่สงสัยความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว) ทั้งหมดไม่ได้ตรงประเด็นเลยเพราะฉะนั้นเขาฟังแล้วเขารู้ไหมว่า คนที่จะกล่าวได้ว่าสภาพรู้กำลังรู้ถ้าไม่รู้จริงๆ จะพูดอย่างนี้ได้ไหมเพราะเขาสงสัยว่า พระพุทธเจ้า “คิด” หรือว่า “ตรัสรู้” ความจริง
(คุณมานิชเข้าใจว่า ถ้าพระพุทธ์องค์ที่สอนเราเรื่องจิตตอนนี้ที่เรารู้ว่า เราเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าพระองค์ไม่ได้ตรัสรู้จริงๆ ก็ไม่สามารถสอนเราเรื่องนี้ได้แสดงว่า ที่เรารู้ที่เราได้ยินก็จากผู้รู้จริงๆ ) เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่า “ ตรัสรู้” รึยัง (เข้าใจ)
- ถ้าเข้าใจแล้วบอกหน่อยว่า ตรัสรู้คืออะไร (ตรัสรู้ทั่วสิ่งที่ปรากฏอย่างสิ่งที่มีจริงตอนนี้) รู้ความจริงทุกอย่างไม่เว้นเลย รู้ความจริงตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
- มีอะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรู้ (ไม่มี) เพราะฉะนั้นทุกคำฟังเพื่อเข้าใจตั้งแต่ต้นเพราะว่าพระองค์ทรงแสดงสภาพธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามลำดับจนถึงการประจักษ์แจ้งตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้ว
- (การตรัสรู้หมายถึงการรู้ได้ทุกอย่างทั่วหมดเลยใช่ไหม) ตามความเป็นจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง
- เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อฟังคำของพระองค์เท่านั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไช่ได้ยินชื่อแต่ฟังคำไตร่ตรองว่าเป็นความจริงหรือเปล่า
- เดี๋ยวนี้มีสภาพรู้จริงมั้ย (มีจริง) สิ่งที่มีจริงเป็นขณะที่สภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นจึงเข้าใจความจริงว่าสภาพที่รู้สิ่งนั้นมีจริงๆ
- ก่อนฟังคำของพระพุทธเจ้า รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้รึเปล่า (ก่อนฟังไม่เคยคิดอย่างนี้) เริ่มเห็นคุณสูงสุดไหม ไม่เคยเข้าใจเลยในสังสารวัฏฏ์แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่า มีธาตุรู้ ต้องเข้าใจแต่ละคำมั่นคงละเอียดขึ้น
- ธาตุรู้เกิดขึ้นไม่รู้ได้มั้ย (เป็นไปไม่ได้) เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงว่า “ธาตุ” สิ่งที่มีจริง ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้เพราะฉะนั้นจะเปลี่ยนจากธาตุรู้เป็นธาตุไม่รู้หรือเป็นอื่นไม่ได้เลย
- ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ธาตุรู้เป็นเรา เป็นงู เป็นนกหรือเปล่า (ไม่) เพราะฉะนั้นธาตุรู้เกิดขึ้นไม่ใช่ของเราไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้นแต่มีจริงๆ เกิดขึ้นรู้ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้
- เสียงเป็นธาตุรึเปล่า (เป็น) เพราะอะไร (เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น) เปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นภาษาบาลีใช้คำว่า “สัททธาตุ” ธาตุที่เกิดขึ้นเป็นเสียง
- ใครทำให้ธาตุที่เป็นเสียงเกิดขึ้นได้บ้าง (ไม่มี) นี่คือความเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพที่มีจริงทุกอย่าง
- เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคงไหม (มั่นคง) ความไม่รู้มีไหม (มี) ความไม่รู้เกิดขึ้นรู้เข้าใจได้ไหม (ไม่ได้) ความไม่รู้เป็นธรรมรึเปล่า ความไม่รู้เป็นธาตุรึเปล่า ความไม่รู้เป็นเรารึเปล่า มีเราไหม ใครเห็น เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีแน่นอนใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ไหม รู้จักธาตุรู้รึยัง (ยัง)
- ถูกต้องเพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามลำดับให้มีการไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจนกว่าจะประจักษ์แจ้งในความเป็นสิ่งนั้น
- ทำไมเราต้องเรียนทุกอย่างที่มีจริงในชีวิต (เพื่อละความไม่รู้) เพราะถ้าไม่รู้ความจริงก็เข้าใจว่า “มีเรา” เป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย
- รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึยัง พระคุณของพระองค์ประมาณไม่ได้จากการที่ไม่เข้าใจอะไรเลยในชีวิตก็ค่อยๆ รู้ความจริงจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังคำของพระองค์จะรู้ความจริงว่าไม่มีเราเลยได้ไหม ฟังแค่นี้หมดความเป็นเรารึยัง ต้องฟังอีกนานเท่าไหร่ (นานมาก ต้องฟังต่อไปเรื่อยๆ ) จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
- นี่เป็นความรู้ขั้นปริยัติ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงทั้งๆ ที่สิ่งนี้กำลังมีจริงๆ แต่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น
- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นเกิดแล้วดับไปรึเปล่า (ยังไม่รู้อย่างนั้น) แต่ความจริงเห็นเกิดแล้วดับเปล่า (เกิดแล้วดับ) เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ สามารถจะรู้แจ้งความจริงของเห็นได้ไหม (รู้ได้) เมื่อมีความเข้าใจขึ้นจึงเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรมให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับจนสามารถประจักษ์ความจริงได้
- ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละขณะสามารถที่จะละความเป็นเราได้ไหม แต่เมื่อเข้าใจความจริงทีละ ๑ ค่อยๆ ละความไม่รู้ทีละ ๑ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้กำลังสนใจหรือเข้าใจหรือใส่ใจเฉพาะธรรม ๑ ความเข้าใจอย่างนี้เป็นเรารึเปล่า ความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นเรารึเปล่า นี่เป็นหนทางที่จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีไม่ใช่เราเป็นอนัตตา
- เริ่มต้นไม่ลืมว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกอย่างเป็นแต่ละหนึ่งที่เป็นธาตุรู้และสภาพธรรมอีกอย่างที่ไม่ใช่ธาตุรู้
- สภาพที่เกิดขึ้นรู้เป็นนามธรรม จะใช้คำว่า “นามธาตุ” ก็ได้ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร ไม่สามารถรู้ได้เป็น “รูปธาตุ” เป็น “รูปธรรม” ทั้งหมดไม่ว่าที่ไหน โลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ มนุษย์หรืออะไรก็ตามเป็นธาตุธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดคือ เป็นรูปธาตุหรือนามธาตุใช่มั้ย
- เราเรียกว่าสุนัขแต่ความจริงคืออะไร ที่เราเรียกว่า “สุนัข” ก็คือนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น
- นามธาตุ เป็นสุนัขหรือว่าเป็นเรา (ไม่เป็นสุนัขไม่เป็นเรา) นี่เริ่มเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นว่าเป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของใคร เกิดแล้วก็ดับไปไม่กลับมาอีกเลย
- ความรู้เท่านี้ไม่พอ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความจริงของแต่ละ ๑ ละเอียดขึ้นเพื่อให้ค่อยๆ เห็นความจริงว่า ไม่ใช่สิ่งอื่นแต่เป็นแต่ละ ๑ ไม่ใช่ของใครและไม่เป็นใครจึงเป็นอนัตตา
- คุณอาคิ่ล คุณอาช่า คุณสุคิน ดิฉันต่างกับสุนัขอย่างไร (นัยของรูปธาตุนามธาตุไม่ต่างกัน) และอะไรทำให้ต่างกัน (สุนัขไม่สามารถฟังและเข้าใจธรรมได้) และก็มีรูปร่างที่ต่างกันทำให้เป็นนก เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นเทวดาต่างๆ แต่ความจริงก็เป็นนามธรรและรูปธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล และเป็นผลของกุศลและอกุศล
- ใครก็ตามที่ตายแล้วเกิดเป็นสุนัขได้ไหม (ได้ตามเหตุปัจจัย) อะไรทำให้เกิดเป็นสุนัข เป็นนก เป็นแมว (อกุศลกรรม) เราพูดได้แต่ยังไม่รู้จักความเป็นจริงของ “กมฺม"
- เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดโดยประการทั้งปวง ๔๕ พรรษา ไม่สามารถที่จะคิดเองได้ว่า มีอะไรเดี๋ยวนี้ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏหลากหลายต่างๆ กัน
- ถ้าไม่เข้าใจความจริงจนสามารถ “ละ” ความเห็นผิดๆ ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแล้ว
- ใครก็ตามที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้
- การไม่รู้ความจริงมีมากไหม (มาก) มากอย่างไร (ยกตัวอย่างเห็นที่มีอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ความจริง) ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่รู้ความจริงของอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างใช่ไหมแต่พอฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เริ่มเข้าใจถูกขึ้นทีละน้อยใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราจะสนทนาสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้วเรื่องอะไรก็ได้ ทุกคนที่ฟังแล้วรู้แล้วว่า ความจริงต้องเป็นการที่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า สงสัยอะไรหรืออยากจะสนทนาเรื่องอะไรก็เชิญเลย
- ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจก็ฟังต่อไปไตร่ตรองต่อไปจนกระทั่งรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด
- คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ผิด” จากความเป็นจริงได้ไหม (ไม่) จะรู้อย่างนี้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระองค์
- เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็จะกล่าวถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ถ้าต้องการที่จะเข้าใจตรงไหนเราก็จะได้สนทนาธรรมกัน
- (ต่อเนื่องจากที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ครั้งที่อาช่ามาเมืองไทยว่า ความเข้าใจธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษาเพราะฉะนั้นจะฟังในภาษาใดไม่สำคัญแต่สำคัญที่เข้าใจในภาษาของตน เลยสงสัยเรื่องสุนัขไม่เข้าใจภาษาคนแล้วสุนัขจะเข้าใจธรรมได้รึเปล่า) ลองพูดธรรมกับสุนัขสิคะ
- (เข้าใจว่าคุยกับสุนัขไม่เข้าใจแน่นอนแต่สงสัยว่า ถ้าตามหลักแล้วสมมติว่า สุนัขของอาช่าถ้าชาติก่อนเป็นมนุษย์ได้ฟังธรรมแล้วเข้าใจชาตินี้จะเข้าใจไหม) คุณอาช่าสามารถรู้ได้ไหมว่า ที่เรากำลังคุยกันสุนัขรู้ได้รึเปล่า (ไม่ทราบ) ไม่ทราบแล้วจะทราบได้ไหม แล้วคนอื่นจะรู้ได้ไหมถ้าเขาไม่รู้ (ความไม่รู้ไม่สามารถจะรู้ได้) แล้วจะคิดทำไม คิดแล้วรู้ได้ไหม
- (คำถามของอาช่าคือ ความไม่รู้คือสิ่งที่มีจริงตอนนี้ มีความไม่รู้หรืออวิชชาชนิดอื่นไหม) ชนิดอื่นหมายความว่าอย่างไร (หมายความว่าถ้ามีอวิชชาที่หลากหลายเกิดเป็นอกุศลจิต ๑๒ ประเภท มีความแตกต่างอย่างไร) จะพูดเรื่องกุศลจิตอกุศลจิตมีเท่าไหร่ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจคำถามที่มีเหล่านี้เลย เพราะฉะนั้นเราไม่ไปไกล เราจะอยู่ที่แต่ละคำที่ทำให้เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นถามเขาว่า เวลาที่เขาไม่รู้มันเป็นความไม่รู้อย่างเดียวหรือเป็นอย่างอื่นด้วย
- เพราะฉะนั้นบางคนฟังแล้วเข้าใจได้ บางคนอีกนานกว่าจะเข้าใจ แสดงให้เห็นว่า “อวิชชา” มากหรือน้อยแค่ไหน
- จะรู้ได้ว่า อวิชชามากหรือน้อยแค่ไหน เมื่อฟังคำจริงแล้วเข้าใจทันทีหรืออีกนานหรือเข้าใจนิดหน่อยคนที่ฟังธรรมแล้วไม่ได้เข้าทั้งหมดทันทีพร้อมกันถึงที่สุดแสดงว่า อวิชชาต่างๆ สะสมมามากน้อยแค่ไหน จะรู้ความจริงเมื่อกำลังเกิดขึ้นอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จะเข้าใจมากไหมกับคนที่ฟังแล้วสามารถเข้าใจได้
- เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่คิดเอง เอานั่นเอานี่มาผสมแต่พิสูจน์ได้ทันที ไม่ทราบมีเรื่องอื่นไหมที่จะต้องเข้าใจให้ละเอียดขึ้นเพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้มากขึ้นก็ละความติดข้องและความสงสัยไม่ได้
- ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ละคลายความไม่รู้และความติดข้อง หนทางอื่นไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ความรู้ยังไม่พอที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เห็นไม่ใช่เราทั้งๆ ที่กำลังเห็น
- ต้องค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นจึงรู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียวซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ ถ้าไม่รู้ว่า ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ทีละน้อยเพิ่มขึ้นเป็นหนทางที่จะรู้แจ้งความจริงก็ไม่สามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริงได้
- เพราะฉะนั้นการเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยจะค่อยๆ ละความสงสัยและความไม่รู้ ถ้ารู้แล้วจะสงสัยไหม เพราะฉะนั้นที่สงสัยเพราะยังไม่รู้จริงๆ ใช่ไหม นี่คือความต่างกันของปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ เพราะฉะนั้นยังสงสัยในพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าที่ไม่ใช่บอกให้เราเข้าใจเพียงจากการที่พระองค์คิด แต่จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่เป็นอย่างที่พระองค์ตรัสให้รู้ทุกคำ
- เพราะฉะนั้นฟังทุกคำของพระองค์ ไตร่ตรองให้เป็นความเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้น เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความสงสัย
- เพียงฟังสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงทันทีได้ไหม (ไม่ได้) แล้วแต่กำลังของปัญญา ถ้าเป็นพระสารีบุตรเพียงฟังไม่มากก็สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้เพราะรู้จริงๆ ไม่ใช่เพราะไม่รู้
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ตรงว่า มีความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ที่หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แค่ไหน
- เพียงได้ยินได้ฟังเท่านี้สามารถจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมทีละ ๑ ซึ่งเกิดดับได้ไหม เพราะฉะนั้นรู้ว่าจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ได้ฟังแล้วไตร่ตรอง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ความสงสัยมีจริงไหม (มีจริง) เป็นธรรมรึเปล่า (เป็น) เป็นธรรมอะไร (เจตสิก) เจตสิกคืออะไร (เป็นนาม) ทำไมเป็นเจตสิก (เพราะไม่เหมือนจิต) ไม่เหมือนอย่างไร จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ เจตสิกก็เป็นสภาพรู้อารมณ์ต่างกันอย่างไร (ต่างกันที่กิจ) หมายความว่าอย่างไรว่าจิตรู้ทั่ว (รู้ชัดเจน) ไม่ใช่ทั่วเพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้มีจิตใช่ไหม รู้ว่ามีจิตแต่ว่าประจักษ์แจ้งสภาพที่เป็นธาตุรู้เท่านั้นหรือยัง (ยัง)
- นี่เป็นความลึกซึ้งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางว่า สามารถที่จะรู้จิตแจ่มแจ้งถูกต้องด้วยความเข้าใจว่าเป็นจิตไม่ใช่สภาพธรรมอื่น
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธาตุรู้ทุกประเภทเพราะว่าธาตุรู้มีหลายอย่าง เพราะฉะนั้นเราจึงได้ยินคำว่า จิต “จิตฺต” เป็นธาตุที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นอารมณ์ แต่จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกันอาศัยกันและกันเกิดขึ้นซึ่งเป็นธาตุรู้ทั้งหมด
- ธาตุรู้ที่เกิดพร้อมกับจิตมีลักษณะต่างๆ แต่ไม่ใช่จิต สภาพรู้ที่เกิดพร้อมกับจิตรู้อารมณ์เดียวกับสิ่งที่จิตรู้แต่ไม่ใช่จิต ดับพร้อมจิตเพราะมีลักษณะที่เป็นธาตุรู้แต่ละอย่างหลากหลายจึงเป็น “เจตสิก”
- เดี๋ยวนี้มีอะไร (มีเห็น) มีจิต มีเจตสิก มีรูป ขณะเกิดก็มีจิต เจตสิก รูป ขณะที่ไม่ใช่ขณะเกิดแต่ไม่ใช่ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็มีจิต มีเจตสิก มีรูป
- เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีเราเพราะรู้ว่าเป็นจิตอะไร เป็นเจตสิกอะไร เป็นรูปอะไรถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นเราแน่นอน
- สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ใครไม่เป็นของใครแต่เข้าใจผิดว่า เป็นเราของเรา เพราะฉะนั้นความเข้าใจผิดมีจริงเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” ความเห็นผิดจากความเป็นจริง
- สิ่งที่มีจริงแล้วเข้าใจขึ้นทีละน้อยเพราะได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเบื้องต้นที่จะทำให้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรมก็สามารถเข้าใจความจริงได้ว่าคืออะไร
- เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงก็สามารถที่จะ “ถึงลักษณะ” ที่เป็นอย่างนั้นในขณะนี้ได้ นั่นคือการเริ่มเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้จนสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เริ่มปรากฏให้รู้ความจริงว่า เป็นอย่าง ๑ เท่านั้นแต่ละหนึ่งๆ
- ขณะที่สามารถ “ถึง” สิ่งที่มีจริงด้วยความเข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งนั้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นสำหรับคราวต่อไปก็คงจะได้อ่านบ้าง ได้ฟังบ้างว่า มีความเข้าใจแค่ไหน เราก็จะได้สนทนาเพิ่มเติมให้เข้าใจยิ่งขึ้น
- สำหรับนี้ก็สวัสดีนะคะ ยินดีในกุศลของทุกคนที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้นเรื่อยๆ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยินดีในกุศลของทุกท่าน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยค่ะ