ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๙
~ พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นคำสอนที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงของทุกอย่างจนกระทั่งสามารถที่จะขัดเกลาความไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติให้ค่อยๆ น้อยลง เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ทำให้เกิดความไม่ดีทั้งหมด ความไม่รู้ความจริง จะนำไปสู่ความดีจนถึงที่สุดไม่ได้
~ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ควรแก่การเคารพสักการบูชาสูงสุด เพราะเหตุว่า สามารถจะนำมาซึ่งความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสังสารวัฏฏ์ แต่ละคำไม่ประมาทเลย ความเข้าใจวันนี้ ฟังต่อไป ไตร่ตรองต่อไป จะมีความเข้าใจขึ้นแน่นอน และก็มั่นคงขึ้นด้วย แต่ถ้าขาดการฟังก็เหมือนเดิม คิดเอง ผิดด้วย เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจอย่างชัดเจน
~ การพูดความจริงที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ด้วยความหวังดีหรือ? ใครจะรัก ใครจะชัง ไม่ได้สำคัญเลย แต่ใจของผู้ที่อนุเคราะห์คนอื่น ให้เข้าใจถูกในพระธรรมวินัย เป็นความดี ซึ่งบังคับไม่ได้ที่จะไม่ให้เขาทำ ถ้าเป็นกุศลแล้ว ทำ กุศลทุกชนิด กล้าที่จะทำกุศล
~ ถ้าใช้คำว่า ธรรม แล้ว ก็หมายความว่า ไม่ได้พูดถึงใครทั้งสิ้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ธรรมคือธรรม เป็นสภาพที่มีจริง เพราะฉะนั้นถ้าพูดว่าธรรมแล้ว ก็หมายความว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
~ การที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะของธรรมนั้นๆ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ถ้าคิดให้ลึกๆ ให้ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจถูกได้ว่า สิ่งที่ปรากฏต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะไม่มีอะไรปรากฏเลย
~ คนที่โกรธง่าย โกรธบ่อยๆ ถึงแม้ว่าอารมณ์ที่ปรากฏจะเป็นอารมณ์ที่ดี น่าดู แต่คนนั้นก็โกรธได้ไม่พอใจได้ เพราะเหตุว่าสะสมความโกรธจนกระทั่งสามารถจะเกิดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอารมณ์จะประณีต เป็นอารมณ์ที่ดี หรือว่า เป็นอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจก็ตาม แต่คนที่สะสมความเมตตา ความกรุณา ความให้อภัย ความไม่โกรธ ถึงแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังหรือเห็นสิ่งซึ่งไม่น่าพอใจ แต่ไม่โกรธ เพราะเหตุว่า สะสมมา ทำให้เป็นที่อาศัยที่มีกำลังให้กุศลจิตเกิดแทนอกุศล
~ ฟังธรรม เพื่อประโยชน์อย่างเดียว คือ เพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูก ไม่ใช่เพื่อเหตุประการหนึ่งประการใดเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อยศ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อเป็นผู้รู้หรือว่า ไม่ใช่เป็นผู้เก่ง แต่เพื่อเข้าใจธรรมให้ถูกต้อง
~ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ใครๆ ก็ทำไม่ได้ นอกจากสิ่งนั้นเกิดเพราะมีปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้นเป็นไป ถ้าบอกว่าเดินช้าๆ แล้วเกิดสติ ผู้นั้นไม่รู้จักสติ และอาจารย์ที่บอก ก็ไม่รู้จักสติด้วย
~ ลาภอื่น เราก็ได้มาในชาตินี้ แต่ก็เอาไปชาติหน้าไม่ได้ แต่ลาภคือศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยที่จะทำให้เรามีโอกาสได้ฟังอีก ได้เข้าใจอีก เพราะเหตุว่าธรรมลึกซึ้งมาก เราก็คงจะต้องมีโอกาสได้ฟังต่อไป ได้อบรมความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น เพียงว่าอย่าท้อถอย เพราะเหตุว่า เราเริ่มจะรู้ว่า ทั้งหมดที่เราจะศึกษา เป็นปัญญาของผู้ที่รู้แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเริ่มศึกษา เราจะสามารถรู้ปัญญาของเราเองได้ว่า ปัญญาของเราระดับไหน ด้วยความไม่ประมาทเลย ด้วยความเคารพ ด้วยการศึกษาในเหตุในผลอย่างละเอียด ก็จะทำให้เราสามารถที่จะทำให้เรามีความเห็นถูกต้อง ไม่เห็นผิดได้
~ ไม่ควรที่จะประมาทในเรื่องของอกุศล และจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นประโยชน์ในทุกทางที่จะให้ท่านผู้ฟังผู้ศึกษาได้พิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าต้องการที่จะเจริญปัญญา เจริญกุศล ก็ต้องไม่ประมาทที่จะรู้จักอกุศลของตนเองด้วย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระธรรม คือ แสดงเรื่องของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยให้ปัญญารู้ ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่น เพราะเหตุว่า มีสภาพธรรมเกิดแล้ว โดยความเป็นอนัตตา โดยเหตุโดยปัจจัย ไม่ใช่มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดทำ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เพียงรู้ให้ถูกต้องตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีแล้วในขณะนี้
~ เวลาที่กุศลจิตเกิด สภาพของจิตผ่องใส ไม่มีความเดือดร้อนด้วยความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่มีการที่จะขาดความเมตตาในบุคคลอื่น จะเห็นได้ว่า จิตที่ผ่องใสเป็นกุศลนั้น ไม่เป็นโทษเป็นภัย เพราะฉะนั้น ก็รู้ได้ว่า ด้วยจิตที่ไม่เป็นโทษเป็นภัย เป็นเหตุ ย่อมจะไม่เป็นผลให้เกิดโทษภัยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหลายมีวิบากที่เป็นสุข ไม่ใช่นำมาซึ่งวิบากที่เป็นทุกข์
~ ในชาติหนึ่งถ้ามีความเห็นผิดต่อไป ชาติต่อๆ ไปก็เห็นผิดต่อไป หันหลังให้พระสัทธรรม หันหลังให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำลายคำสอนด้วย เพราะฉะนั้น สาวก คือ ผู้ที่ฟังพระธรรม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อละ และเพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อทำลายประโยชน์
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง ว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์แล้ว สัตว์โลก ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นเทพ จะเป็นพรหม เป็นใครทั้งหมด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ต้องไตร่ตรองเพื่อที่จะได้ไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมด เป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่า ยังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่า ลดน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา กิเลสก็คงยังไม่ปรากฏให้รู้ได้ว่าขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงไร
~ ถึงใครจะมีอกุศลมากสักเท่าใด ก็ไม่ใช่เขา เป็นเพียงอกุศลธรรมเท่านั้นที่สะสมมามาก จนกระทั่งออกมาทางกาย ทางวาจาอย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้น เมื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมมากเท่าใด
ความเป็นเรา เขา ใคร ก็จะลดน้อยลง เพราะเห็นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเสมอกันทั้งหมด และเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างๆ กันด้วย เพราะฉะนั้น การที่จะคิดถึงบุคคลอื่น การที่จะแสดงกาย วาจา ต่อบุคคลอื่น ก็ย่อมเป็นไปด้วยเมตตา ด้วยกุศลและขัดเกลาอกุศลให้เบาบางลงไป
~ จิตใจของคน ส่วนใหญ่แล้วอกุศลทั้งนั้น ทั้งวัน โอกาสของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอธิษฐานบารมี ก็เป็นผู้รู้ตัวว่า กิเลสยังเยอะ เพราะฉะนั้น ยังจะต้องอาศัยความตั้งใจมั่นจริงๆ ในการเจริญกุศล มิฉะนั้นแล้ว ก็จะพลาดให้อกุศลทุกที นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเห็นความสำคัญของจิตใจไม่หวั่นไหว เมื่อมีความตั้งใจที่จะเจริญกุศล และเมื่อมีโอกาสที่จะทำกุศล ความตั้งใจมั่นนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กุศลนั้นเกิดและสำเร็จได้
~ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อยู่ในตำราเลย ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นก็เป็นธรรม ทางหูที่กำลังได้ยิน ความคิดนึก ล้วนเป็นธรรมทั้งนั้น เพื่อจะเตือนให้เราทราบว่า พระธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เราอาศัยการฟัง หรือการอ่าน หรือการสนทนา เพื่อที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ต้องเป็นผู้ที่กล้า และรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถึงจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น ถ้าเห็นว่าตัวเองดีแล้ว ไม่มีทางที่จะต้องทำอะไรอีกต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้ว่าตัวเองไม่ดี เมื่อนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะคนอื่นไม่สามารถที่จะละความไม่ดีนั้นได้ นอกจากปัญญาของตัวเอง
~ ถ้าได้พิจารณาตัวเองอย่างละเอียด แล้วเห็นอกุศลธรรม เห็นกิเลสของตนเอง ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท และจะไม่คิดว่าตัวเองดีพอแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าคิดว่าดีพอแล้ว กุศลธรรมก็ทำมากแล้ว ก็จะไม่ทำให้เจริญกุศลยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเทียบกันแล้วระหว่างกุศลและอกุศล โดยสภาพของความเป็นปุถุชน กุศลมากเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองโดยละเอียดยิ่งขึ้น
~ ข้อสำคัญที่สุด เป็นคนตรง สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ผิด เพราะฉะนั้น ความเห็นที่ถูกต้อง กล้าที่จะพูดสิ่งที่ถูก เพราะเป็นความจริง เพื่อประโยชน์ทุกคำที่ถูกต้อง ถ้าไม่พูด จะมีประโยชน์อะไร ไม่ได้ทำให้คนอื่นสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ปัญญา ไม่เคยกลัวอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะหวังดี ไม่ใช่หวังร้าย ที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูก
~ ชีวิตสั้นแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ต้องหวั่นไหวกับความไม่ดีหรือความไม่เข้าใจหรือความหวังร้ายของคนอื่น เพราะเหตุว่า เราจะไม่ได้รับผลนั้นจากความไม่ดีของเขา เขาต้องได้รับเอง น่าสงสาร เพราะฉะนั้น มีโอกาสที่จะทำให้เขาเข้าใจ เราก็จะทำ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๙๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอน้อบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นกราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาบุญกับอาจารย์คำปั่นเป็นอย่างยิ่งค่ะ
มีสติระลึกรู้ ในธรรม
ฟังต่อหนุนในคำ นอบน้อม
พระตถาคตทรงนำ เห็นถูก
จิตเจตสิกถึงพร้อม เกิดด้วยปัญญา
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี
ทางสื่อไลน์เปรมปรีดิ์ เลิศล้ำ
อาจารย์สุจินต์นำวิถี ทางถูก
ฟังแห่งความจริงค้ำ เด่นด้วยปัญญา
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน